วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประวัติสโมสร Liverpool

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นเมื่อ 15 มีนาคม1892 จากการแยกตัวออกไปของสโมสรเอฟเวอร์ตันเหตุจากความขัดแย้งเรื่องค่าเช่าสนาม ทำให้สโมสรเอฟเวอร์ตันต้องย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ จอห์น โฮลดิ้ง เจ้าของสนาม จึงได้ร่วมมือกับ วิลเลียม อี บาร์เคลย์ และแฟนบอลกลุ่มหนึ่งออกมาตั้งทีมฟุตบอลใหม่กันเอง โดยได้ตั้งชื่อตามชื่อเมืองในปี 1894 และใช้สีแดงซึ่งเป็นสีประจำเมืองเป็นสีของเสื้อทีมเหย้า


ในปี 1901 มีการเพิ่มสัญลักษณ์ นกลิเวอร์เบิร์ด บนหน้าอกเสื้อทีม วิลเลียม อี บาร์เคลย์ คือผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสร จอห์น แม็คเคนน่า รับหน้าที่เป็นประธานสโมสรและเป็นบุคคลซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในระยะแรกๆของทีม ลิเวอร์พูล ลงแข่งขันครั้งแรกใน แลงคาเชียร์ ลีก หรือลีกท้องถิ่น การแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดแรกของลิเวอร์พูลเป็นเกมในบ้านพบกับไฮเออร์ วอลตัน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 1892
ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 8-0 มันเป็นการเริ่มต้นที่สุดวิเศษและลิเวอร์พูลก็ผงาดคว้าแชมป์แลงคาเชียร์ ลีกไปครองอย่างง่ายดาย
และนี่คือผลงานที่น่าเหลือเชื่อสำหรับทีมที่ก่อตั้งขึ้นมายังไม่ถึงหนึ่งปี ก่อนก้าวขึ้นสู่ดิวิชั่น2 และ ดิวิชั่น1 ตามลำดับ
ปี 1896 ถือเป็นปีแห่งการเริ่มต้นความสำเร็จ เมื่อ ทอมมี่ วัตสัน เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการคุมทีม สิ่งที่เขาทำให้กับสโมสรนี้มีค่ามากมายเหลือเกิน แซม เรย์โบลด์ กองหน้าจอมถล่มประตู และ ราอิสเบ็ค กองหลังจอมแกร่ง คือคีย์แมนที่ทำให้ทีมลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 สมัยแรกมาประดับสโมสรในปี 1901 โดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่แปดปีหลังจากเข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีกสูงสุดของ ประเทศ

หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีกสมัย ในปี 1906 และนับเป็นถ้วยรางวัลสุดท้ายในยุคของ กุนซือ
ทอมมี่ วัตสัน ปี 1920 เดวิด แอชเวิร์ธ คือผู้จัดการทีมรายที่สองที่เข้ามาคุมทีม และเพียงแค่ปีเดียวภายใต้การนำของ แอชเวิร์ธ ทีมก็คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้ในปี 1921 ทีมในชุดนี้เน้นไปที่แผงหลังอันแข็งแกร่ง ประกอบด้วย ผู้รักษาประตูทีมชาติไอร์แลนด์ เอลิชา สก็อตต์ กองหลัง อีเพลม ลองวอร์ธ ,ทอม ลูคัส และ ดอน แม็คกินเลย์ สองฟูลแบ็ค แฮร์รี่ แชมเบอร์ ดาวซัลโวประจำทีมด้วยจำนวน 19 ประตู และคู่ขาในแดนหน้า ดิ๊ก ฟอร์ชอว์ ซึ่งยิงไป 17 ประตู

เดวิด แอชเวิร์ธ วางมือจากการคุมทีมในปี 1922 ปี 1923 แม็ตต์ แม็คควีน อดีตนักเตะยุคเริ่มก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูลในปี 1892 โดยสมัยค้าแข้งเจ้าตัวลงเล่นให้สโมสรถึง 150 เกมเลยทีเดียว แม็คควีน เข้ามารับงานต่อจากกุนซือคนก่อน เดวิด แอชเวิร์ธ
ในช่วงปลายของฤดูกาล 1922-23 ซึ่งขณะนั้นทีมมีคะแนนนำเป็นจ่าฝูง แม็คควีน พาทีมจบฤดูกาลด้วยการป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัย
ทีมลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมเรื่อยมา ไล่ตั้งแต่ปี 1928-36 จอร์จ เพ็ตเตอร์สัน ,1936 จอร์จ เคย์ และก็เป็นกุนซือ
เคย์ ที่พาทีมประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้เป็นสมัยที่ 5 ของสโมสร

ในปี 1946 จอร์จ เคย์ เป็นผู้จัดการทีมที่พาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ในปี 1950 กับ อาร์เซน่อล ที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของสโมสรที่มีโอกาสได้ลงเล่นที่สนามเวมบลีย์ทีมชุดนั้น ประกอบด้วย ไซริล ซิดโลว์,เรย์ แลมเบิร์ท,เอ็ดดี้ สไปเซอร์,ฟิล เทย์เลอร์ (กัปตันทีม),บิลล์ โจนส์,ลอวลี่ ฮิวจ์ส,จิมมี่ เพย์น,เบรอน,อัลเบิร์ต สตั๊บบินส์,โจ เฟแกน,บิลลี่ ลิดเดลล์ แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้ลงเล่นที่เวมบลีย์ ท่ามกลางแฟนบอล 100,000 คน แต่ผลการแข่งขันกลับไม่เป็นใจ ทีมหงส์แดงกลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อ อาร์เซน่อล ไป 2-0 ทำให้ทำได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ และนั่นคือผลงานชิ้นสุดท้ายของ จอร์จ เคย์ดอน เวลช์ คือกุนซือที่เข้ามารับตำแหน่งแทน จอร์จ เคย์ ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ แต่ผลงานกลับเลวร้ายลงอย่างไม่คาดคิด ทีมต้องตกชั้นไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในปี 1954

ดอน เวลช์ พยายามที่จะพาทีมกลับขึ้นสู่ดิวิชั่น1 ในฤดูกาลต่อมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนทีมต้องสั่งปลด และนับเป็นครั้งแรกของสโมสรที่มีการไล่ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่ง ฟิล เทย์เลอร์ อดีตนักเตะกัปตันทีมลิเวอร์พูลชุดคว้าแชมป์ลีกปี 1946 เข้ามารับหน้าที่กู้้วิกฤิตให้กับทีม แต่ก็ต้องผิดหวังเนื่องจากไม่สามารถพาทีมกลับขึ่นสู่ดิวิชั่น1 ได้ทำให้ เทย์เลอร์ ตัดสินใจอำลาทีม

วันที่ 1 ธันวาคม 1959 คือวันที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสร ด้วยการประกาศแต่งตั้ง บิล แชงคลีย์ อดีตกุนซือของฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ บิล แชงคลีย์ จัดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสโมสร สนามซ้อมเมลวู๊ด ถูกซ่อมแซมปรับปรุงพื้นหญ้าใหม่ นำวิธีการฝึกซ้อมใหม่ๆมาสู่ทีม และเป็นคนเลือก11นักเตะลงสู่สนามเอง เขาจัดการโละนักเตะออกไปหลายคนและจากนั้นเขาก็ได้นำนักเตะที่มีแนวคิดที่ตรง กันในเกมเข้ามาสู่ทีม โรเจอร์ ฮันท์ ดาวยิงซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของดาวยิงตลอดกาลของสโมสรก็เป็นผลงานการคว้าตัว ของ บิล แชงคลีย์เพียงแค่ 3 ปี ลิเวอร์พูลก็กลับคืนสู่ดิวิชั่น1 ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1961-62 และนับเป็นการคืนสู่ดิวิชั่น1 ที่มั่นคงกว่าครั้งก่อนๆ

บิล แชงคลีย์ พาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้เป็นสมัยที่6ของสโมสรในฤดูกาล 1963-64 ถัดจากนั้นอีกเพียงแค่ปีเดียว แชงคลีย์ พาทีมหวนคืนสู่สนามเวมบลีย์อีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ โดยพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด แต่ในเวลา 90 นาที ทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้ ทำให้ต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบชิงชนะเลิศบอลถ้วยที่ต้องมีการต่อเวลานับตั้งแต่ปี 1947 ช่วงต่อเวลาพิเศษ โรเจอร์ ฮันท์ โขกให้ทีมออกนำ ก่อนมาถูกลีดส์ ตีเสมอจากการยิงของ บิลลี่ เบรมเนอร์ หงส์แดงมาได้ประตูชัยจาก เอียน เซนต์จอห์น ที่ได้โขกจ่อๆให้ทีมชนะไปในที่สุด 2-1 คว้าถ้วยแชมป์เอฟเอ คัพ กลับสู่เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งต้องรอคอยมายาวนานถึง 73 ปี

ปี1966 แฟนบอลลิเวอร์พูลนำเพลง You'll Never Walk Alone มาร้องในสนามซึ่งเหมือนเป็นแรงพลักดันได้เป็นอย่างดีฤดูกาล 1972-73 ลิเวอร์พูลสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่ สามารถคว้าถ้วยสโมสรยุโรปมาครองได้ในรายการของ ยูฟ่า คัพ ด้วยการเอาชนะ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 พร้อมจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดับเบิ้ลแชมป์ โดยก่อนหน้านี้คว้าแชมป์ลีกมาครองได้แล้ว ฤดูกาลต่อมาลิเวอร์พูลก้าวเท้าเข้าสู่สนามเวมบลีย์ พร้อมผงาดคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ด้วยการชนะ ได้อีกสมัยหลังจบฤดูกาลแฟนบอลลิเวอร์พูลก็ต้องช็อคกันทั้งเมืองเมื่อ บิล แชงคลีย์ ประกาศวางมือจาการคุมทีมบิล แชงคลีย์ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรอย่างมากมายตลอดระยะเวลา 10 ปีที่เจ้าตัวคุมทีม จนทำให้สังเวียนแอนฟิลด์กลายเป็นสังเวียนแข้งที่น่ากลัวสำหรับทุกทีมที่มา เยือน

แช งคลีย์ นำนักเตะที่มีความสามารถมาสู่ทีมมากมายไล่ตั้งแต่ยุคแรกๆอย่าง เอียน เซนต์จอห์น,รอน เยตส์,เอมลีน ฮิวจ์ส และคนที่ถือว่าเป็นการคว้าเพชรเม็ดงามมาสู่ทีมก็คือคู่หูจอมถล่มประตู เควิน คีแกน และ จอห์น โตแช๊ค สโมสรได้แต่งตั้ง บ็อบ เพสลีย์ อดีตนักเตะของสโมสรและยังเป็นมือขวาของ บิล แชงคลีย์ ขึ้นมาคุมทีมในฤดูกาล 1974 เพสลีย์ ยังคงใช้ห้องเก็บรองเท้าหรือที่เรียกกันว่า "บูธรูม" เป็นสถานที่สำหรับพูดคุยและวางแผนในการลงเล่นแต่ละนัด นักเตะในทีมอย่าง เควิน คีแกน เริ่มอิ่มตัวกับฟุตบอลอังกฤษจึงย้ายไปเล่นในเยอรมันกับฮัมบูร์ก เพสลีย์ จึงหันไปคว้าตัว เคนนี่ ดัลกลิช กองหน้าจาก เซลติก มาสู่ทีม ไม่นานนัก แกรม ซูเนสส์ นักเตะสกอตแลนด์อีกคนก็ย้ายมาสู่ทีม เมื่อบวกกับนักเตะเก่าในทีมอย่าง ฟิล ธอมป์สัน,เทอร์รี่ แม็คเดอร์ม็อด,เรย์ คลีเมนซ์,อลัน เคนเนดี้ ทีมชุดนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก

ปี 1981 เพสลีย์ ยังคงนำนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาสู่ทีมอย่างต่อเนื่อง บรูซ กร็อบเบลล่า,เอียน รัช,รอนนี่ วีแลน,เคล็ก จอห์นสตัน ทั้งหมดคือคีย์แมนในยุคของ บ็อบ เพสลีย์ ทำให้สโมสรลิเวอร์พูลรุ่งเรืองสุดขีดในช่วงที่เจ้าตัวคุมทีม พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 6สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) 3สมัย, ยูฟ่า คัพ 1สมัย, ลีก คัพ 3สมัย, ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ 1สมัย และแชมป์ แชริตี้ ชิลด์ อีก 5 สมัย รวมแล้ว 19 รางวัลตลอดระยเวลาเพียงแค่ 9 ปี ชื่อของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่แล้วก็ถึงเวลาเมือ บ็อบ เพสลีย์ ประกาศวางมือไปอีกคนโจ เฟแกน หนึ่งในผลผลิตจาก "บูธรูม" อีกคนก้าวขึ้นคุมทีมในปี 1983 ดูเหมือนงานคุมทีมในสโมสรจะมีรากฐานที่แน่นมาตั้งแต่สมัยของ บิล แชงคลีย์ เพราะสโมสรยังคงทำผลงานได้ดีเรื่อยมาคว้าแชมป์ลีกครั้งที่ 15 ของสโมสรในฤดูกาล 1983-84 เท่านั้นยังไม่พอเมื่อพลพรรคหงส์แดงได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลลีกคัพ โดยเป็นการพบกับคู่ปรับร่วมเมือง เอฟเวอร์ตัน ซึ่งถือเป็นเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้แมตช์นัดชิงครั้งแรกของทั้งสองทีม ผลจบลงด้วยการเสมอกันในนัดแรกต้องไปเตะกันใหม่ที่สนามของแมนฯซิตี้ โดย แกรม ซูเนสส์ เป็นผู้ยิงประตูชัยให้กับทีมเอาชนะไป 1-0 พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ 3 สมัยติดลิเวอร์พูลเดินหน้าคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ต่อด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปได้ เป็นสมัยที่ 4 ของสโมสรด้วยการยิงจุดโทษชนะ โรม่า ถึงกรุงโรม และนั่นเป็นครั้งแรกของสโมสรที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้ หลังจบฤดูกาล แกรม ซูเนสส์ ย้ายไปเล่นให้กับ ซามพ์โดเรีย กำลังหลักของทีมหลายคนเริ่มออกจากทีม ทำให้ผลงานในลีกไม่ดี ทุกคนจึงพุ่งเป้าไปที่แชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 แทนวั

นที่ 29 พฤษภาคม ปี 1985 ลิเวอร์พูล พบกับ ยูเวนตุส ในรอบชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ ที่กรุงบรัสเซลล์ บรรยากาศในสนามเริ่มรุนแรงขึ้นหนึ่งชั่วโมงก่อนเกมเริ่ม แฟนบอลทั้งสองฝั่งมีปากเสียงกันผ่านที่กั้นซึ่งทำด้วยลูกกรง และหลังจากที่มีการขว้างปาสิ่งของ แฟนลิเวอร์พูลบางคนเริ่มวิ่งเข้าใส่แฟนบอลของยูเวนตุส ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้น แฟนบอลยูเวนตุสพยายามหนี พวกเขาปีนขึ้นไปบนกำแพง และหลังจากนั้นแฟนบอล 39 คนเสียชีวิตจากการพลัดตกลงมา และกลายเป็นโศกนาฏกรรมเฮย์เซล ผลการแข่งขันลิเวอร์พูล พ่ายไป 0-1จากลูกจุดโทษของ มิเชล พลาตินี่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหลังโศกนาฏกรรมที่เฮย์เซล โจ เฟแกน ประกาศลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีม นี่ถือเป็นฝันร้ายในการสิ้นสุดอาชีพที่รุ่งเรืองกับทีมหงส์แดงเลยก็ว่าได้ เคนนี่ ดัลกลิช ขึ้นคุมทีมแทนในตำแหน่งผู้เล่นและผู้จัดการทีมควบคู่กัน

ลิ เวอร์พูลเริ่มต้นฤดูกาล 1985-86 ด้วยความโศกเศร้า เหตุการณ์ที่เฮย์เซลเมื่อสี่เดือนก่อนยังไม่จางไปจากแอนฟิลด์แต่นักเตะทุกคน ยังทำผลงานในลีกได้ดีพาทีมหงส์แดงเอาชนะแชมป์เก่าอย่างเอฟเวอร์ตัน ครองแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 16 พร้อมทั้งคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกจากการเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ไป 3-1 แต่สโมสรก็ถูกยูฟ่าสั่งแบนจากการแข่งขันในเวทียุโรปปี1986-87 เอียน รัช อำลาทีมย้ายสู่สโมสรยูเวนตุสในอิตาลี สภาพของทีมดูย่ำแย่ลงนักเตะในทีมเริ่มมีแต่ดาวรุ่งตัวเก่าๆก็เริ่มที่จะ โรยราลง ทำให้ทีมไม่สามารถรักษาแชมป์เอาไว้ได้ ปี1987-88 ดัลกลิช เปลี่ยนนักเตะแบบยกชุดด้วยการหันไปคว้านักเตะอย่าง จอห์น อัลดริดจ์,จอห์น บารนส์, ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์,เรย์ เฮาจ์ตัน มาสู่ทีมบวกกับนักเตะจากทีมสำรองที่ถูดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่อย่าง สตีฟ แม็คมาน ทำให้ทีมลงตัวจนสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ในที่สุด หลังจบฤดูกาล เอียน รัช ย้ายกลับสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง 15 เมษายน 1989 เกมตัดเชือกเอฟเอคัพ กับ น็อตติ้งแฮมฟอเรสต์ ที่ฮิลส์โบโร่ สนามของ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ แฟนบอลลิเวอร์พูล 96คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์เบียดเสียดกันตายจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งที่สอง

เหตุ การณ์ที่ฮิลส์โบโร่ห์มีผลกระทบต่อความรู้สึกของบรรดาเดอะ ค็อปมาก แต่สิ่งที่ได้รับจากกองเชียร์ นักเตะและสโมสร แสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาทุกคนจึงรักสโมสรแห่งนี้ และแน่นอนแฟนบอลหงส์แดง 96 คนจะอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยแชมป์ลีกสมัยที่ 18 ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศลาออกในปี 1991 ทำให้สโมสรเรียกตัว แกรม ซูเนสส์ กลับมาสู่ทีมในฐานะผู้จัดการทีมคนใหม่ ซูเนสส์ หันไปหานักเตะรุ่นใหม่ๆหมดไล่ตั้งแต่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์,สตีฟ แม็คมานามาน,เจมี่ เร็ดแนป์,ร็อบ โจนส์,เดวิด เจมส์ แต่น่าเสียดายที่ผลงานการคุมทีมไม่ดีอย่างที่หลายคนคาด คว้ามาได้เพียงแชมป์เอฟ เอคัพ ครั้งเดียวตลอดการคุมทีม 4 ปีสโมสรได้แต่งตั้ง รอย อีแวนส์ หนึ่งในสมาชิกของ "บูธรูม" อีกคน แต่ อีแวนส์ ก็ไม่สามารถพาลิเวอร์พูลกลับขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ ผลงานที่สามารถคว้ามาได้มีเพียงแชมป์ลีก คัพ ในปี 1994-95 เพียงรายการเดียว

ปี1998 สโมสรหันไปคว้าผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส เชราร์ อุลลิเย่ร์ มาคุมทีมร่วมกับ รอย อีแวนส์ และเพียงไม่นาน อีแวนส์ ก็ขอลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมร่วม ทำให้ เชราร์ อุลลิเย่ร์ รับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่แทนทันที และหมดยุคของ "บูธรูม" ทันทีอุลลิเย่ร์ เรียก ฟิล ธอมป์สัน อดีตนักเตะลิเวอร์พูลมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม และใช้เวลาสร้างทีมใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเตะต่างชาติ ซามี่ ฮูเปีย ,แพทริก แบร์เกอร์,วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์,ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์ และนักเตะจากทีมเยาวชน ซึ่งต่อมาถือเป็นกำลังหลักของทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด,เจมี่ คาร์ราเกอร์และ ไมเคิ่ล โอเว่น ทีมทำผลงานได้ดีในฟุตบอลถ้วย แต่ผลงานในลีกกลับไม่สามารถทวงความยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตกลับมาสู่สโมสรได้

ปี 2000-01 อุลลิเย่ร์ พาทีมสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วย โดยคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ,ลีกคัพ เป็นสมัยที่ 6 มาสู่สโมสร พร้อมทั้งสร้างผลงานในเวทียุโรป ด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ มาครองหลังห่างหายไปนานกว่า 21 ปี ปี 2003 กุนซือชาวฝรั่งเศสพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ สมัยที่7 ให้กับสโมสรด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ 2-0 จากประตูของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่ สนามมิลเลเนี่ยม เมืองคาร์ดิฟฟ์ และนั่นคือผลงานสุดท้ายที่กุนซือชาวฝรั่งเศสทำให้ทีมเนื่องจาก
เชราร์ อุลลิเย่ร์ ไม่สามรถทำทีมคว้าแชมป์ลีกได้ตามที่บอร์ดบริหารต้องการ

ปี 2004 สโมสรได้แต่งตั้ง ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ผู้นำทีมบาเลนเซียคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปน มาสู่ทีมและเพียงแค่ฤดูกาลแรกที่เจ้าตัวเข้ามาคุมทีม ราฟาก็ทำค่ำคืนที่เหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พูลได้ เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ยุโรปมาครอบครองได้เป็นสมัยที่5ของสโมสร หลังจากที่ตามหลัง เอซี มิลาน อยู่ 3-0 ในช่วงจบครึ่งแรก แต่สามารถกลับมาตีเสมอได้ในช่วงครึ่งหลัง 3-3 ก่อนที่จะกลับมาเอาชนะไปได้ในช่วงของการดวลจุดโทษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น