วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประวัติฟุตบอล



ฟุตบอล (Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่น
มากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน
เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี
ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio)
มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่า
กีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง
ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่ม
ีกติการการแข่งขันที่แน่นอน
คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอล
ในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431
วิวัฒนาการด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้นกำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น
สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman)
พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต
และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ


วิวัฒนาการของฟุตบอล

ภาคตะวันออกไกล
ขงจื้อได้กล่าวไว้ในหนังสือ "กังฟู" เกี่ยวกับกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาที่ใช้เท้า
และศีรษะในสมัยจักรพรรดิ์ เซิงติ (Emperor Cneng Ti) (ปี 32 ก่อนคริสตกาล)
มีการเล่นกีฬาที่คล้ายกับฟุตบอลซึ่งเรียกว่า"ซือ-ซู" (Tsu-Chu) ซึ่งหมายถึงการเตะลูกหนังด้วยเท้า
กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ซึ่งนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นได้ยกย่อง
ผู้เล่นที่มีชื่อเสียงให้เป็นวีรบุรุษของชาติ และในสมัยเดียวกันได้มีการเล่นคล้ายฟุตบอลใน
ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

ภาคตะวันออกกลาง
ในกรุงโรม ความเจริญของตะวันออกไกลได้แผ่ขยายถึงตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอิทธิพลของสงคราม
โดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช การเล่นกีฬาชนิดหนึ่งเรียกว่า ฮาร์ปาสตัม เป็นกีฬาที่นิยมของชาวโรมัน
และชาวกรีกโบราณวิธีการเล่นคือ มีประตูคนละข้าง แล้วเตะลูกบอลไปยังจุดหมายที่ต้องการ เช่น
จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง การเล่นจะเป็นการเตะ หรือการขว้างไปข้างหน้าฮาร์ปาสตัม
หมายถึงการเหวี่ยงไปข้างหน้า การเล่นกีฬาฮาร์ปาสตัมในกรุงโรมดูเหมือนจะเป็นต้นกำเนิด
ของกีฬาซึ่งมีการเล่นในสมัยกลาง
ในการเล่นฮาร์ปาสตัม ขนาดของสนามจะเล็กกว่าสนามกีฬาซูเลอ แต่จุดประสงค์ของกีฬาทั้งสอง
คือ การนำลูกบอล ไปยังแดนของตน แต่เนื่องจากมีเสียงอึกทึกโครมครามจากการวิ่งแย่งลูกบอล
ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า จึงมีพระบรมราชโองการในนาม
ของพระเจ้าแผ่นดินห้ามเล่นกีฬาดังกล่าวในเมือง ผู้ฝ่าฝืนมีโทษถึงจำคุก นอกจากนี้ยังมีข้อห้าม
ซึ่งออกในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.1892 ขอให้เล่นยิงธนูในวันฉลองต่าง ๆ แทนการเล่นเกมฟุตบอล
ในโอกาสต่อมากีฬาฟุตบอลได้จัดให้มีการแข่งขันกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างทีมต่างๆ
ที่อยู่ห่างกันประมาณ 3-4 ไมล์ ( 5-6.5 กิโลเมตร- )
ในปี พ.ศ. 2344 กีฬาชนิดนี้ได้ขัดเกลาให้ดีขึ้น มีการกำหนดจำนวนผู้เล่นให้เท่ากันในแต่ละข้าง
ขนาดของสนามอยู่ในระหว่าง 80 - 100 หลา (73-91 เมตร) และมีประตูทั้งสองข้างที่ริมสุดของสนาม
ซึ่งทำด้วยไม้ 2 อัน ห่างกัน 2-3 ฟุต
ในปี พ.ศ. 2366 ได้จัดให้มีการเล่นฟุตบอลในรูปแบบของการเล่นใน ปัจจุบัน William Alice
คือผู้เริ่มวางกฎบังคับต่างๆ สำหรับกีฬาฟุตบอลและรักบี้ ในปี พ.ศ. 2393 ได้มีการออกระเบียบ
และกฎของการเล่นไปสู่ ดินแดนต่างๆ ให้ปฏิบัติตาม โดยจำกัดจำนวนผู้เล่นให้มีข้างละ 15-20 คน
ในปี พ.ศ. 2413 มีการกำหนดผู้เล่นให้เหลือข้างละ 11 คน โดยมีผู้เล่นกองหน้า 9 คน และผู้เล่น
รักษาประตู 2 คน โดยผู้รักษาประตูใช้เท้าเล่นเหมือน 9 คนแรกจนกระทั่งให้เหลือผู้รักษาประตู 1 คน
แต่อนุญาตให้ใช้มือจับลูกบอลได้ในปี พ.ศ. 2423
ในปี พ.ศ. 2400 สโมสรฟุตบอลได้ก่อตั้งเป็นครั้งแรกที่เมืองเซนพัสด์ประเทศอังกฤษ
และต่อมาในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2406 สโมสรฟุตบอล 11 แห่งได้มารวมกันที่กรุงลอนดอน
เพื่อก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้น ซึ่งถือเป็นรากฐานในการกำเนิดสมาคมแห่งชาติ จนถึง 140 สมาคม และทำให้ผู้เล่นฟุตบอลต้องเล่นตามกฎและกติกาของสมาคมฟุตบอล จนเวลาผ่านไปจากคำว่า
Association ก็ย่อเป็น Assoc และกลายเป็น Soccer ขึ้นในที่สุด ซึ่งนิยมเรียกกันในประเทศอังกฤษ
แต่ชาวอเมริกันเรียกว่า Football หมายถึง American football
ภายนอกเกาะอังกฤษ พวกกะลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า วิศวกร หรือแม้แต่นักบวชได้นำกีฬาชนิดนี้
ไปเผยแพร่ ประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่ 2 ในยุโรป
ในอเมริกาใต้ สโมสรแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศอาร์เจนตินา เมื่อพี่น้องชาวอังกฤษ 2 คน ได้ลงข้อความโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของเมืองบูเอโนสไอเรส (Buenos Aires) เพื่อ หาผู้อาสาสมัคร
ในปี พ.ศ. 2427 กีฬาฟุตบอลก็กลายมาเป็นวิชาหนึ่งในโรงเรียนของเมืองบูเอโนสไอเรส
การแข่งขันระดับชาติครั้งแรกในทวีปอเมริกาใต้ คือ การแข่งขันระหว่างอาร์เจนตินากับอุรุกวัย
ในปี พ.ศ.2448 แต่อเมริกาเหนือเริ่มแข่งขันเมื่อปี พ.ศ. 2435
ในอิตาลี ฮาร์ปาสตัมเป็นต้นกำเนิดจิโอโค เดล คาลซิโอ ผู้เล่นกีฬาจะเป็นผู้นำทางสังคม
หรือแม้แต่ผู้นำชั้นสูงของศาสนา เช่นสันตปาปา เกลาเมนต์ที่ 7 ลีออนที่ 10 และเออร์เบนที่ 7
เป็นถึงแชมเปี้ยนในกีฬาฟลอเรนไทน์ฟุตบอล ต่อมาชาวโรมันได้ดัดแปลงเกมการเล่นฮาร์ปาสตัมเสียใหม่
โดยกำหนดให้ใช้เท้าแตะลูกบอลเท่านั้น ส่วนมือให้ใช้เฉพาะการทุ่มลูกบอล ซึ่งนักรบชาวโรมัน นิยมเล่นกันมาก
กีฬาฮาร์ปาสตัมซึ่งมีต้นกำเนิดจากสมัยโรมันได้ถูกแปลงมาเป็นกีฬาซูลอหรือซูเลอ
กีฬาชนิดนี้เหมือนกับฮาร์ปาสตัม คือ นำลูกบอลกลับไปยังแดนของตน แต่สนามมีขนาดกว้างกว่ามาก
การเล่นซูเลอมักจะมีขึ้นในบ่ายวันอาทิตย์หลังการสวดมนต์เย็น จะมีการแข่งขันสำคัญในช่วงเวลาดีคาร์นิวาล กีฬาชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในเขตปริตานีและมอร์ลังดี กีฬานี้ได้ถูกเผยแพร่ไปยังอังกฤษโดยผู้ติดตาม
ของวิลเลี่ยมผู้พิชิตภายหลัง การรบที่เฮสติ้ง (Hasting)
เมื่อ 900 ปีกว่ามาแล้ว ประเทศอังกฤษได้ตกอยู่ในความปกครองของพวกเคนส์ เชื้อสายโรมัน
ซึ่ง ยกกองทัพมาตีหมู่เกาะอังกฤษตอนใต้ และได้ปกครองเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 1589 อังกฤษเริ่มเข้มแข็งขึ้น และสามารถขับไล่พวกเคนส์ออกจากประเทศได้ หลังจากนั้น 2-3 ปี อังกฤษจึงเริ่มปรับปรุงประเทศเป็นการใหญ่
มีการขุดอุโมงค์ตามพื้นที่หลายแห่ง ซึ่งในการขุดอุโมงค์คนงานคนหนึ่งได้ขุดไปพบกะโหลกศีรษะใน
บริเวณที่เคยเป็นสนามรบ และเป็นที่ฝังศพของพวกเคนส์มาก่อนทุกคนในที่นั้นแน่ใจว่าเป็นกะโหลกศีรษะ
ของพวกเคนส์ อารมณ์แค้นจึงเกิดขึ้นทันทีเมื่อต่างคนต่างคิดถึงเหตุการณ์ที่ถูกพวกเคนส์กดขี่ทารุณจิตใจ
คนอังกฤษในสมัยนั้นด้วยเหตุผลนี้ คนงานคนหนึ่งจึงเตะกะโหลกศีรษะนั้นทันที ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พากันหยุดงานชั่วคราว แล้วหันมาเตะกะโหลกศีรษะเป็นการใหญ่ เพื่อระบายอารมณ์แค้นที่เก็บไว้อย่างสนุกสนาน ผลที่สุดเมื่อพวกนี้หากะโหลกศีรษะเตะกันไม่ได้ก็เอาถุงลมของวัวมาทำเป็นลูกกลมขึ้นเตะแทนกะโหลกศีรษะ
ปรากฏว่าเป็นที่รื่นเริงสนุกสนามกันมาก
ต่อมาชาวโรมันได้นำเกมนี้ไปเล่นในอังกฤษ จากนั้นชาวอังกฤษก็ได้ปรับปรุงวิธีการเล่น
เทคนิคการเล่น ตลอดจนกติกาให้เหมือนในสมัยปัจจุบัน คือเกมฟุตบอลที่ใช้เท้าเล่น
แต่ในระยะแรกของการเล่นฟุตบอลจะเล่นกันเป็นกลุ่มๆ เฉพาะพวกคนธรรมดาเท่านั้น
ไม่มีการจำกัดจำนวนผู้เล่น ประตูจะห่างกันเป็นไมล์ และใช้เวลาในการเล่นหลายชั่วโมง
จะเป็นการเล่นระหว่างทหารใหม่ที่ถูกเกณฑ์ นักบวช คนที่แต่งงานแล้ว คนโสด และพวกพ่อค้า
เกมชนิดได้กลายเป็นสิ่งฉลองในงานพิธีต่างๆ เช่น ในวันโชรพ ทิวส์เดย์ (Shrove Tuesday)
จะมีฟุตบอลนัดสำคัญให้คนได้ชม เกมในสมัยนั้นจะเล่นกันอย่างรุนแรงและมีการบาดเจ็บกันมาก
ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 1857 พระเจ้าเอ๊ดเวิร์ดที่ 2 ได้ทรงออกพระราชกฤษฎีกา
เนื่องจากมีเสียงอึกทึกครึกโครมจาการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุมากมาย
อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า โดยห้ามเล่นกีฬาดังกล่าว ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุก
ฟุตบอลได้เริ่มแข่งขันภายใต้กฎของสมาคมแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2412
ระหว่างทีมรัตเกอร์กับทีมบรินท์ตัน
จากนั้นกิจการฟุตบอลได้เจริญขึ้นช้าๆ
ในต่างจังหวัดจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการตั้ง
สมาคมฟุตบอลต่างจังหวัดขึ้นในปี พ.ศ. 2450 และมีการฝึกสอนในปี พ.ศ. 2484
ในทวีปเอเชีย อินเดียเป็นประเทศแรกที่เริ่มเล่นฟุตบอล ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยกัลกัตตา
เป็นผู้นำสำเนากฎหมายการเล่นมาเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2426 และในปี พ.ศ. 2435
ได้มีการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเป็นครั้งแรกในทวีปซึ่งยังไม่มีชื่อเสียงในด้านการเล่นฟุตบอล
กีฬาชนิดนี้ก็ได้เริ่มมีการเล่นมาก่อนร่วมร้อยปีแล้ว เช่น สมาคมฟุตบอลแห่งนิวเซาท์เวลส์
ได้ถูกตั้งขึ้นในออสเตรเลีย ปี พ.ศ. 2425 และสมาคมฟุตบอลของนิวซีแลนด์ได้ถูกตั้งขึ้นหลังจากนั้น 9 ปี
ในแอฟริกา สมาคมระดับชาติแห่งแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้
แต่อียิปต์เป็นประเทศแรกที่มีการแข่งขันระดับชาติในปี พ.ศ. 2467 คือ 3 ปี หลังจากที่ได้ก่อตั้งสมาคมขึ้น
และอียิปต์สามารถเอาชนะฮังการีได้ 3-0 ในกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส
การแข่งขันระดับชาติเป็นการแข่งขันระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2415 และในปีแรกของศตวรรษที่ 20 โดยประเทศยุโรปอื่นๆ อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2447 กลุ่มประเทศต่างๆ ในแถบนี้ได้ประชุมกันที่ปารีสเพื่อตั้งสมาคมฟุตบอลนานาชาติขึ้น ในครั้งแรกก่อนการจัดตั้งสหพันธ์ 20 วัน สเปนและเดนมาร์กไม่เคยร่วมการแข่งขันระดับชาติมาก่อน และ 3 ประเทศใน 7 ประเทศ
ที่เข้าร่วมประชุมยังไม่มีสมาคมฟุตบอลในชาติของตน แต่ฟีฟ่าก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยมา
โดยมีสมาชิก 5 ชาติ ในปี พ.ศ. 2481 และ 73 ชาติ ในปี พ.ศ. 2493 และในปัจจุบันมีสมาชิกถึง 146 ประเทศ
ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของฟีฟ่า ทำให้ฟีฟ่าเป็นองค์การกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สมาพันธ์ประจำทวีปของสมาคมฟุตบอลแห่งแรกที่ตั้งขึ้นคือ Conmebol ซึ่งเป็นสมาพันธ์ของอเมริกาใต้ สมาพันธ์นี้ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อจัดตั้งเพื่อจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศภายในทวีปอเมริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2460
เกือบครึ่งศตวรรษ ต่อมาเมื่การแข่งขันภายในทวีปได้แพร่หลายมากขึ้น จึงได้มีการจัดตั้งสมาพันธ์ในทวีปอื่นๆ ขึ้นอีกคือสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป
ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งในทวีปเอเชีย และ 2 ปี ก่อน การจัดตั้งสมาคมฟุตบอลยุโรป ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลแห่งแอฟริกา (Concacaf)หรือสหพันธ์ฟุตบอลแห่งอเมริกากลาง อเมริกาเหนือ
และแคริบเบี้ยน ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 และน้องใหม่ในวงการฟุตบอลโลกคือ สมาพันธ์ฟุตบอล
แห่งโอเชียนเนีย (Oceannir)


สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (Federation International Football Association FIFA)
ก่อตั้งขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2447 โดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศฝรั่งเศส
และประเทศที่เข้าร่วมก่อตั้ง 7 ประเทศคือ ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สเปน สวีเดน
และสวิตเซอร์แลนด์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
สมาพันธ์ฟุตบอลที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
1. Africa (C.A.F.) เป็นเขตที่มีสมาชิกมากที่สุด ได้แก่ ประเทศแอลจีเรีย ตูนิเซีย แซร์ ไนจีเรีย และซูดาน เป็นต้น
2. America-North and Central Caribbean (Concacaf) ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก
คิวบา เอติ เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และฮอนดูรัส เป็นต้น
3. South America (Conmebol) ได้แก่ ประเทศเปรู บราซิล อุรุกวัย โบลิเวีย อาร์เจนตินา ชิลี เวเนซุเอลา
อีคิวเตอร์ และโคลัมเบีย เป็นต้น
4. Asia (A.F.C.)เป็นเขตที่มีสมาชิกรองจากแอฟริกา ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น
ฮ่องกง เลบานอน อิสราเอล อิหร่าน จอร์แดน และเนปาล เป็นต้น
5. Europe (U.E.F.A.) เป็นเขตที่มีการพัฒนามากที่สุด ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน
ฮังการี อิตาลี สกอตแลนด์ รัสเซีย สวีเดน สเปน และเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
6. Oceannir เป็นเขตที่มีสมาชิกน้อยที่สุดและเพิ่งจะได้รับการแบ่งแยก ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์ ฟิจิ และปาปัวนิวกินี เป็นต้น ซึ่งประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกต้องเสียค่าบำรุงเป็นรายปี
ปีละ 300 ฟรังสวิสส์ หรือประมาณ 2,400 บาท


สหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย

ในทวีปเอเชียมีการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเอเชีย (A.F.C.) เพื่อดำเนินการด้านฟุตบอล ดังนี้
พ.ศ. 2495 มีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่
จากประเทศในเอเชียเข้ามาร่วมการแข่งขันด้วย จึงได้ปรึกษาหารือกันในการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลเอเชียขึ้น
พ.ศ. 2497 มีการแข่งขันเอเชียนเกมส์ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ก็ได้เริ่มตั้งคณะกรรมการจากชาติต่างๆ
ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิก 12 ประเทศ
พ.ศ. 2501 มีการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก และมีประเทศเข้าร่วม
เป็นสมาชิกรวมเป็น 35 ประเทศ
พ.ศ. 2509 ฟีฟ่าได้มองเห็นความสำคัญของ A.F.C. จึงได้กำหนดให้มีเลขานุการประจำในเอเชีย
โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด รวมทั้งเงินเดือน และคนแรกที่ได้รับตำแหน่งคือ Khow Eve Turk
พ.ศ. 2517 ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่เตหะราน ประเทศอิหร่านได้มีการประชุมประเทศสมาชิก A.F.C.
และที่ประชุมได้ลงมติขับไล่อิสราเอล ออกจากสมาชิก และให้จีนแดงเข้าเป็นสมาชิกแทน ทั้งๆ
ที่จีนแดงไม่ได้เป็นสมาชิกของฟีฟ่า นับว่าเป็นการสร้างเหตุการณ์ที่ประหลาดใจให้กับบุคคลทั่วไป
เป็นอย่างมากทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง
พ.ศ. 2519 มีการประชุมกันที่ประเทศมาเลเซีย ปรากฏว่าประเทศสมาชิกได้ลงมติให้ขับไล่
ประเทศไต้หวันออกจากสมาชิก และให้รับจีนแดงเข้ามาเป็นสมาชิกแทน ทั้งๆ ที่ไต้หวัน
เป็นประเทศที่ร่วมกันก่อตั้งสหพันธ์ขึ้นมา

งานของสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย
1. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Asian Cup
2. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Asian Youth
3. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก
4. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Pre-Olympic
5. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม World Youth
6. ควบคุมการแข่งขัน Kings Cup, President Cup, Merdeka, Djakarta Cup
นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากฟีฟ่าจัดส่งวิทยากรมาช่วยดำเนินการ

สรุปวิวัฒนาการของฟุตบอล
ก่อนคริสตกาล - อ้างถึงการเล่นเกมซึ่งเปรียบเสมือนต้นฉบับของกีฬาฟุตบอลที่เก่าแก่ที่
ได้มีการค้นพบจากการเขียนภาษาญี่ปุ่น-จีน และในสมัยวรรณคดีของกรีกและโรมัน
ยุคกลาง - ประวัติบันทึกการเล่นในเกาะอังกฤษ อิตาลี และฝรั่งเศส
ปี พ.ศ. 1857 - พระเจ้าเอ๊ดเวิร์ดที่ 3 ทรงออกพระราชกฤษฎีกาห้ามเล่นฟุตบอล
เพราะจะรบกวนการยิงธนู
ปี พ.ศ. 2104 - Richardo Custor อาจารย์สอนหนังสือชาวอังกฤษกล่าวถึงการเล่นว่า
ควรกำหนดไว้ในบทเรียนของเยาวชน โดยได้รับอิทธิพลจาการเล่นกาลซิโอในเมืองฟลอเร้นท์
ปี พ.ศ. 2123 -Riovanni Party ได้จัดพิมพ์กติการการเล่นคาลซิโอ
ปี พ.ศ. 2223 -ฟุตบอลในประเทศอังกฤษได้รับพระบรมราชานุเคราะห์จากพระเจ้าชาร์ลที่ 2
ปี พ.ศ. 2391 -ได้มีการเขียนกฎข้อบังคับเคมบริดจ์ขึ้นเป็นครั้งแรก
ปี พ.ศ. 2406 -ได้มีการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้น
ปี พ.ศ. 2426 -สมาคมฟุตบอลจักรภพ 4 แห่ง ยอมรับองค์กรควบคุม และจัดตั้งกรรมการระหว่างชาติ
ปี พ.ศ. 2429 -สมาคมฟุตบอลเริ่มทำการฝึกเจ้าหน้าที่ที่จัดการแข่งขัน
ปี พ.ศ. 2431 -เริ่มเปิดการแข่งขันฟุตบอลลีก โดยยินยอมให้มีนักฟุตบอลอาชีพ
และเพิ่มอำนาจการควบคุมให้ผู้ตัดสิน
ปี พ.ศ. 2432 -สมาคมฟุตบอลส่งทีมไปแข่งขันในต่างประเทศ เช่น เยอรมันไปเยือนอังกฤษ
ปี พ.ศ. 2447 - ก่อตั้งฟีฟ่า ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงปารีส เมื่อ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2447
โดยสมาคมแห่งชาติคือ ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก สเปน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์
ปี พ.ศ. 2480 - 2481 -ข้อบังคับปัจจุบันเขียนขึ้นตามระบบใหม่ขององค์กรควบคุม
โดยใช้ข้อบังคับเก่ามาเป็นแนวทาง


ประวัติฟุตบอลในประเทศไทย


          กีฬาฟุตบอลในประเทศไทย ได้มีการเล่นตั้งแต่สมัย "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 5
แห่งกรุงรัตนโกสิทร์ เนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานยาเธอ
และข้าราชบริพารไปศึกษาวิชาการด้านต่างๆ ที่ประเทศอังกฤษ และผู้ที่นำกีฬาฟุตบอลกลับมายังประเทศไทยเป็นคนแรกคือ
"เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)" หรือ ที่ประชนชาวไทยมักเรียกชื่อสั้นๆว่า "ครูเทพ"
ซึ่งท่านได้แต่งเพลงกราวกีฬาที่พร้อมไปด้วยเรื่องน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง เชื่อกันว่าเพลงกราวกีฬาที่ครูเทพแต่งไว้นี้จะต้องเป็น
"เพลงอมตะ" และจะต้องคงอยู่คู่ฟ้าไทย
เมื่อปี พ.ศ. 2454-2458 ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการครั้งแรก เมื่อท่านได้นำฟุตบอลเข้ามาเล่นในประเทศไทยได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆมากมาย โดยหลายคนกล่าวว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศร้อน เหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศหนาวมากกว่าและเป็นเกมที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้เล่นและผู้ชมได้ง่าย ซึ่งข้อวิจารณ์ดังกล่าวถ้ามองอย่างผิวเผินอาจคล้อยตามได้ แต่ภายหลังข้อกล่าวหาดังกล่าวก็ได้ค่อยหมดไป จนกระทั่งกลายเป็น กีฬายอดนิยมที่สุดของประชาชนชาวไทยและชาวโลกทั่วทุกมุมโลก ซึ่งมีวิวัฒนาการดังกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลต่อไปนี้ พ.ศ. 2440 รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จนิวัติพระนคร กีฬาฟุตบอลได้รับความสนใจมากขึ้นจากบรรดาข้าราชการ บรรดาครูอาจารย์ ตลอดจนชาวอังกฤษในประเทศไทยและผู้สนใจชาวไทยจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับ กอร์ปกับครูเทพท่านได้เพียรพยายามปลูกฝังการเล่นฟุตบอลในโรงเรียนอย่างจริงจัง และแพร่หลายมากในโอกาสต่อมา พ.ศ. 2443 (รศ. 119) การแข่งขันฟุตบอลเป็นทางการครั้งแรกของไทยได้เกิดขึ้น เมื่อวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443 (รศ. 119) ณ สนามหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ออกกำลังกาย และประกอบงานพิธีต่างๆการแข่งขันฟุตบอลคู่ประวัติศาสตร์ของไทย ระหว่าง "ชุดบางกอก" กับ "ชุดกรมศึกษาธิการ" จากกระทรวงธรรมการหรือเรียกชื่อการแข่งขันครั้งนี้ว่า "การแข่งขันฟุตบอลตามข้อบังคับของแอสโซซิเอชั่น" เพราะสมัยก่อนเรียกว่า "แอสโซซิเอชั่นฟุตบอล" (ASSOCIATIONS FOOTBALL) สมัยปัจจุบันอาจเรียกได้ว่า "การแข่งขันฟุตบอลของสมาคม" หรือ "ฟุตบอลสมาคม" ผลการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษดังกล่าวปรากฏว่า "ชุดกรมศึกษาธิการ" เสมอกับ "ชุดบางกอก" 2-2 (ครึ่งแรก 1-0) ต่อมาครูเทพท่านได้วางแผนการจัดการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนอย่างเป็นทางการพร้อมแปลกติกาฟุตบอล แบบสากลมาใช้ในการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนครั้งนี้ด้วย พ.ศ. 2444 (รศ. 120) หนังสือวิทยาจารย์ เล่มที่ 1 ตอนที่ 7 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2444 ได้ตีพิมพ์เผยแพร่เรื่องกติกาการแข่งขันฟุตบอลสากลและการแข่งขันอย่างเป็นแบบแผนสากล การแข่งขันฟุตบอลนักเรียนครั้งแรกของประเทศไทยได้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2444 นี้ ผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นนักเรียนชายอายุไม่เกิน 20 ปี ใช้วิธีจัดการแข่งขันแบบน็อกเอาต์ หรือแบบแพ้คัดออก (KNOCKOUT OR ELIMINATIONS) ภายใต้การดำเนินการจัดการ แข่งขันของ "กรมศึกษาธิการ" สำหรับทีมชนะเลิศติดต่อกัน 3 ปี จะได้รับโล่รางวัลเป็นกรรมสิทธิ์ พ.ศ. 2448 (รศ. 124) เดือนพฤศจิกายน สามัคยาจารย์ สมาคม ได้เกิดขึ้นครั้งแรกเป็น การแข่งขันฟุตบอลของบรรดาครูและสมาชิกครู โดยใช้ชื่อว่า "ฟุตบอลสามัคยาจารย์" พ.ศ. 2450-2452 (รศ. 126-128) ผู้ตัดสินฟุตบอลชาวอังชื่อ "มร.อี.เอส.สมิธ" อดีตนักฟุตบอลอาชีพได้มาทำการตัดสินในประเทศไทย เป็นเวลา 2 ปี ทำให้คนไทย โดยเฉพาะครู-อาจารย์ และผู้สนใจได้เรียนรู้กติกาและสิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาก พ.ศ. 2451 (รศ. 127) มีการจัดการแข่งขัน "เตะฟุตบอลไกล" ครั้งแรก พ.ศ. 2452 (รศ. 128) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสวรรคต เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2452 นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของผู้สนับสนุนฟุตบอลไทยในยุคนั้น ซึ่งต่อมาในปีนี้ กรมศึกษาธิการก็ได้ประกาศใช้วิธีการแข่งขัน "แบบพบกันหมด" (ROUND ROBIN) แทนวิธีจัดการแข่งขันแบบแพ้คัดออกสำหรับคะแนนที่ใช้นับเป็นแบบของแคนาดา (CANADIAN SYSTEM) คือ ชนะ 2 คะแนน เสมอ 1คะแนน แพ้ 0 คะแนน และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงมีความสนพระทัยกีฬาฟุตบอลเป็น อย่างยิ่งถึงกับทรงกีฬาฟุตบอลเอง และทรงตั้งทีมฟุตบอลส่วนพระองค์เองชื่อทีม "เสือป่า" และได้เสด็จพระราช ดำเนินประทับทอดพระเนตรการแข่งขันฟุตบอลเป็นพระราชกิจวัตรเสมอมา โดยเฉพาะมวยไทยพระองค์ทรงเคย ปลอมพระองค์เป็นสามัญชนขึ้นต่อยมวยไทยจนได้ฉายาว่า "พระเจ้าเสือป่า" พระองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถมาก จนเป็นที่ยกย่องของพสกนิกรทั่วไป จนตราบเท่าทุกวันนี้ จากพระราชกิจวัตรของพระองค์รัชกาลที่ 6 ทางด้านฟุตบอลนับได้ว่าเป็นยุคทองของไทยอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ข่าวสาร หนังสือพิมพ์ และบทความต่างๆทางด้านฟุตบอลดังกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลต่อไปนี้ พ.ศ. 2457 (รศ. 133) พระยาโอวาทวรกิจ" (แหมผลพันชิน) หรือนามปากกา "ครูทอง" ได้เขียนบทความกีฬา "เรื่องจรรยาของผู้เล่นและผู้ดูฟุตบอล" และ "คุณพระวรเวทย์ พิสิฐ" (วรเวทย์ ศิวะศริยานนท์) ได้เขียน บทความกีฬา "เรื่องการเล่นฟุตบอล" และ "พระยาพาณิชศาสตร์วิธาน" (อู๋ พรรธนะแพทย์) ได้เขียนบทความกีฬาที่ประทับใจชาวไทยอย่างยิ่ง "เรื่องอย่าสำหรับนักเลงฟุตบอล" พ.ศ. 2458 (รศ. 134) ประชาชนชาวไทยสนใจกีฬาฟุตบอลอย่างกว้างขวาง เนื่องจาก กรมศึกษาธิการ ได้พัฒนาวิธีการเล่น วิธีจัดการแข่งขัน การตัดสิน กติกาฟุตบอลที่สากลยอมรับ ตลอดจนระเบียบการแข่งขันที่รัดกุมยิ่งขึ้น และผู้ใหญ่ในวงการให้ความสนใจอย่างแท้จริงนับตั้งแต่ พระองค์ รัชกาลที่ 6 เองลงมาถึงพระบรมวงศานุวงศ์จนถึงสามัญชน และชาวต่างชาติ และในปี พ.ศ. 2458 จึงได้มีการแข่งขันฟุตบอลประเภทสโมสรครั้งแรกเป็นการชิงถ้วยพระราชทานและ เรียกชื่อการแข่งขัน ฟุตบอลประเภทนี้ว่า "การแข่งขันฟุตบอลถ้วยทองของหลวง" การแข่งขันฟุตบอลสโมสรนี้เป็นการแข่งขันระหว่าง ทหาร-ตำรวจ-เสือป่า ซึ่งผู้เล่นจะต้องมีอายุเกินกว่าระดับทีมนักเรียน นับว่าเป็นการเพิ่มประเภทการแข่งขันฟุตบอล ราชกรีฑาสโมสร หรือสปอร์ตคลับ นับได้ว่าเป็นสโมสรแรกของไทยและเป็นศูนย์รวมของชาวต่างประเทศ ในกรุงเทพฯ ซึ่งยังอยู่ในปัจจุบัน และสโมสรสปอร์ตคลับเป็นศูนย์กลางของกีฬาหลายประเภท โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลได้มีผู้เล่นระดับชาติจากประเทศอังกฤษมาเข้าร่วมทีมอยู่หลายคน เช่น มร.เอ.พี.โคลปี. อาจารย์โรงเรียนราชวิทยาลัย นับได้ว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดี มีความพร้อมมากทั้งทางด้านผู้เล่น งบประมาณและสนามแข่งขันมาตรฐาน จึงต้องเป็นเจ้าภาพให้ทีมต่างๆของไทยเรามาเยือนอยู่เสมอ ทำให้วงการฟุตบอลไทยในยุคนั้นได้พัฒนายิ่งขึ้น และรัชกาลที่ 6 ทรงสนพระทัย โดยเสด็จมาเป็นองค์ประธานพระราชทานรางวัลเป็นพระราชกิจวัตร ทำให้ประชาชนเรียกการแข่งขันสมัยนั้นว่า "ฟุตบอลหน้าพระที่นั่ง" และระหว่างพักครึ่งเวลามีการแสดง "พวกฟุตบอลตลกหลวง" นับเป็นพิธีชื่นชอบของปวงชนชาวไทยสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง และการแข่งขันฟุตบอลสโมสรครั้งแรกนี้ มีทีมสมัครเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 12 ทีม ใช้เวลาในการแข่งขัน 46 วัน (11 ก.ย.-27 ต.ค. 2458) จำนวน 29 แมตช์ ณ สนามเสือป่า ถนนหน้าพระลาน สวนดุสิต กรุงเทพมหานคร หรือสนามหน้ากองอำนวนการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติปัจจุบันพระองค์รัชกาลที่ 6 ได้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการแข่งขันนับว่าฟุตบอลไทยมีระบบ ในการบริหารมานานนับถึง 72 ปีแล้ว ความเจริญก้าวหน้าของฟุตบอลภายในประเทศได้แผ่ขยายกว้างขวางทั่วประเทศไปสู่สโมสรกีฬา-ต่าง จังหวัด หรือชนบทอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่นิยมกันทั่วไปภายใต้การสนับสนุนของรัชกาลที่ 6 และพระองค์ท่านทรงเล็งเห็นกาลไกลว่าควรที่ตะตั้งศูนย์กลางหรือสมาคมอย่างมี ระบบแบบแผนที่ดี โดยมีคณะกรรมการบริหารสมาคมและทรงมีพระบรมราชโองการก่อตั้ง "สโมสรคณะฟุตบอลสยาม" ขึ้นมาโดยพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเล่นฟุตบอลเอง รัชกาลที่ 6 ได้ทรงมีวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามดังนี้คือ 1. เพื่อให้ผู้เล่นฟุตบอลมีพลานามัยที่สมบูรณ์ 2. เพื่อก่อให้เกิดความสามัคคี 3. เพื่อก่อให้เกิดไหวพริบ และเป็นกีฬาที่ประหยัดดี 4. เพื่อเป็นการศึกษากลยุทธ์ในการรุกและการรับเช่นเดียวกับกองทัพทหารหาญ จากวัตถุประสงค์ดังกล่าว นับเป็นสิ่งที่ผลักดันให้สมาคมฟุตบอลแห่งสยามดำเนินกิจการเจริญก้าวหน้ามา จนตราบถึงทุกวันนี้ ซึ่งมีกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลดังนี้ พ.ศ. 2458 (ร.ศ. 134) การแข่งขัน ระหว่างชาติครั้งแรกของประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 ณ สนามราชกรีฑาสโมสร (สนามม้าปทุมวันปัจจุบัน) ระหว่าง "ทีมชาติสยาม" กับ "ทีมราชกรีฑาสโมสร" ต่อหน้าพระที่นั่ง และมี "มร.ดักลาส โรเบิร์ตสัน" เป็นผู้ตัดสิน ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่าทีมชาติสยามชนะ ทีมราชกรีฑาสโมสร 2-1 ประตู (ครึ่งแรก 0-0) และครั้งที่ 2 เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2458 เป็นการแข่งขันระหว่างชาตินัดที่ 2 แบบเหย้าเยือนต่า หน้าพระที่นั่ง ณ สนามเสือป่าสวนดุสิต และผลปรากฏว่า ทีมชาติสยามเสมอกับทีมราชกรีฑา สโมสร หรือทีมรวมต่างชาติ 1-1 ประตู (ครึ่งแรก 0-0) สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย(THE FOOTBALL ASSOCIATION OF THAILAND) มีวิวัฒนาการตามลำดับต่อไปนี้ พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน พุทธศักราช 2459และตราข้อบังคับขึ้นใช้ในสนามฟุตบอลแห่งสยามด้วยซึ่งมีชื่อย่อว่า ส.ฟ.ท. และเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "THE FOOTBALL ASSOCIATION OF THAILAND UNDER THE PATRONAGE OF HIS MAJESTY THE KING" ใช้อักษรย่อว่า F.A.T. และสมาคมฯ จัดการแข่งขันถ้วยใหญ่และถ้วยน้อยเป็นครั้งแรกในปีนี้ด้วย พ.ศ. 2468 เป็นภาคีสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลระหว่างชาติ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พุทธศักราช 2468 ชุดฟุตบอลเสือป่าพรานหลวง ได้รับถ้วยของพระยาประสิทธิ์ศุภการ (เจ้าพระยารามราฆพ) ซึ่งเล่นกับชุดฟุตบอลกรมทหารรักษาวัง เมื่อ พ.ศ. 2459-2460 ได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ โดยชนะ 2 ปีติดต่อกัน รายนามผู้เล่น 1. ผัน ทัพภเวส 2. ครูเพิ่ม เมษประสาท (พระดรุณรักษา) 3. ครูเธียร วรธีระ (หลวงวิเศษธีระการ) 4. จรูญฯ (พระทิพย์จักษุศาสตร์) 5. ก้อนดิน ราหุลหัต (หลวงศิริธารา) 6. ครูสำลี จุโฬฑก (หลวงวิศาลธีระการ) 7. ครูหับ ปีตะนีละผลิน (หลวงประสิทธิ์นนทเวท) 8. ตุ๋ย ศิลปี (หลวงจิตร์เจนสาคร) 9. แฉล้ม กฤษณมระ (พระประสิทธิ์บรรณสาร) 10. จิ๋ว รามนัฎ (หลวงยงเยี่ยงครู) 11. ลิ้ม ทูตจิตร์ (พระวิสิษฐ์เภสัช) ชุดฟุตบอลสโมสรกรมหรสพ ได้รับพระราชทาน "ถ้วยใหญ่" ของสมาคมฟุตบอลแห่งสยาม ในพระบรม ราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2459 รายนามผู้เล่น 1. ครูเพิ่ม เมษประสาท (พระดรุณรักษา) 2. ครูเธียร วรธีระ (หลวงวิเศษธีระการ) 3. เจ็ก สุนทรกนิษฐ์ 4. บุญ บูรณรัฎ 5. ใหญ่ มิลินทวณิช (หลวงมิลินทวณิช) 6. ครูหับ ปีตะนีละผลิน (หลวงประสิทธิ์นนทเวท) 7. ผัน ทัพภเวส 8. ถม โพธิเวช 9. แฉล้ม พฤษณมระ (พระประสิทธิ์บรรณสาร) 10. หลวงเยี่ยงครู (ถือถ้วยใหญ่) 11. เกิด วัชรเสรี (ขุนบริบาลนาฎศาลา) พ.ศ. 2499 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ ครั้งที่ 3 และเรียกว่าข้อบังคับ ลักษณะปกครอง           พ.ศ. 2499 สมาคมฟุตบอลฯ ได้สิทธิ์ส่งทีมฟุตบอลชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขัน "กีฬาโอลิมปิก" ครั้งที่ 16 นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2499 ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย          พ.ศ. 2500 เป็นภาคีสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย ซึ่งมีชื่อย่อว่า เอเอฟซี และเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "ASIAN FOOTBALL CONFEDERATION" ใช้อักษรย่อว่า A.F.C. พ.ศ. 2501 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับลักษณะปกครอง ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2503 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับลักษณะปกครอง ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2504-ปัจจุบัน สมาคมฟุตบอลฯได้จัดการแข่งขันฟุตบอลถ้วยน้อย และถ้วยใหญ่ ซึ่งภายหลังได้จัดการแข่งขันแบบเดียวกันของสมาคมฟุตบอล อังกฤษคือจัดเป็นประเภทถ้วยพระราชทาน ก, ข, ค, และ ง และยังจัดการแข่งขันประเภทอื่นๆ อีกเช่น ฟุตบอลนักเรียน ฟุตบอลเตรียมอุดม ฟุตบอลอาชีวะ ฟุตบอลเยาวชนและอนุชน ฟุตบอลอุดมศึกษา ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ฟุตบอลควีส์ คัพ ฟุตบอลคิงส์คัพ เป็นต้น ฯลฯ นอกจากนี้ยังได้จัดการแข่งขันและส่งทีมเข้าร่วมกับทีมนานาชาติมากมายจนถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2511 สมาคมฟุตบอลได้สิทธิ์ส่งทีมฟุตบอลชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2511 ณ ประเทศเม็กซิโก พ.ศ. 2514 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับลักษณะปกครอง ครั้งที่ 6 ชุดฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดแรกที่เดินทางไปแข่งขัน "กีฬาโอลิมปิก" ครั้งที่ 16 ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2499 พ.ศ. 2531 สมาคมฟุตบอลฯ ได้มีโครงการจัดการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศ รวมทั้งเชิญทีมต่างประเทศเข้าร่วมแข่งขัน และส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันในต่างประเทศตลอดปี
 
จากสภาพการณ์ปัจจุบันสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศฯ ได้สร้างเกียรติยศชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏ และ ประจักษ์แจ้งแก่มวลสมาชิกฟุตบอลนานาชาติ ตัวอย่างประเทศเกาหลีได้จัดฟุตบอลเพรสซิเด้นคัพปี 2530 นี้ได้เชิญทีมฟุตบอลชาติไทยเท่านั้นแสดงว่าแสดงว่าสมาคมฟุตบอลของไทยได้ บริหารทีมฟุตบอลเป็นทีมที่มีมาตรฐาน สูงสุดจนเป็นที่ยอมรับของเอเชียในปัจจุบันและต่อจากนี้ไป ในปีพุทธศักราช 2530 นี้ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้วางแผนพัฒนาทีมฟุตบอลชาติไทยให้ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น โดยมีโครงการทีมฟุตบอลชาติไทยชุดถาวรของสมาคมฟุตบอลฯ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลชาติไทย ซึ่งนักฟุตบอลทุกคนของสมาคมฯจะได้รับเงินเดือนเดือน ละ 3,000 บาท ในช่วงปี 2530-2531 นอกจากนี้สมาคมฟุตบอลฯได้วางแผนพัฒนาเกี่ยวกับการฝึกซ้อมและแข่งขันฟุตบอล โดย นำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการฝึกด้วยตลอดจนหาช้างเผือกมาเสริมทีมชาติเพื่อเป็นตัวตายตัว แทนสืบไป ขอใหสโมสรสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านโปรดติดตามและเอาใจช่วยให้สมาคมฟุตบอลแห่ง ประเทศไทยจงเจริญรุ่งเรือง
สืบไปชั่วนิจนิรันดร์

ยาดองสูตรเย็น คืออะไร


ภก.เชิดชัย อริยานุชิตกุล M.P.H.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น

       ถ้าแยกคำคำนี้ออกดูจะเห็นว่าประกอบด้วย "ยาดอง" ซึ่งถ้าเป็นนักฎหมายจะบอกว่าเป็น "ยา" ตาม พระราชบัญญัติยา +"เหล้า" เช่นกันนักกฎหมาย จะต้องอาศัยพระราชบัญญัติอาหารในการควบคุม กำกับ ว่าเหล้าเป็นอาหาร??..แล้ว เจ้าหน้าที่เราๆ ท่านๆ จะว่าอย่างไร
       ยา ดองเหล้ามีอะไรดีน๊า ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบดื่ม กรรมกรสามล้อก็ชอบดื่ม นักศึกษาก็ช๊อบชอบกิน ผู้เฒ่า ผู้แก่ยังเป็นเพียงการดื่มเพราะเชื่อว่าดื่มเป็นกระสาย ดื่มเพื่อเจริญอาหาร ดื่มเพื่อพบปะเพื่อนฝูง ผู้ใช้แรงงานอย่างเช่น กรรมกร แบกหามบางคนก็ดื่มบางคนก็กิน เพื่อให้ลืมบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ อยากคิดไม่อยากรับรู้ หรือเพื่อลดอาการปวดเมื่อย แต่วัยรุ่นนักศึกษานี่สิ กินเพื่ออะไร ไม่เพียงเป็นการดื่ม แต่ต้องใช้คำว่า "กินยาดองเหล้า" บางคนก็อ้างว่ากินยาดองเหล้า มันกินง่ายกว่าเหล้า และมันเป็นยาด้วย แต่บางคนก็ให้เหตุผลว่า กินให้รู้สึกมึนๆ ตึงๆ เพื่อไปเที่ยวต่อ เช่น เข้าเธค เพราะเหล้า เบียร์ ในเธคมัน แพง ซึ่งอาจจะรวมไปถึงสิ่งเสพติดหรืออบายมุขอื่นด้วย ก็อาจเป็นไปได้ คนในครอบครัวต้องติดตาม และหาทางแก้ไขร่วมกันต่อไป
       ด้วยเหตุที่คน ที่ดื่มยาดองเหล้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นหรือผู้ใช้แรงงาน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ขอนแก่น จึงต้องเฝ้าระวังความปลอดภัยในยาดองเหล้า โดยคาดว่ายาดองเหล้าอาจจะมีการใส่สารที่ทำ ให้ผู้บริโภคติด หรือไม่ก็ใส่ยาแก้ปวดเมื่อย โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากศูนย์วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ขอนแก่น ในการตรวจวิเคราะห์สารเสพติด คือ Methamphetamine ซึ่งเป็นสารที่บ่งบอก ถึงว่ามียาบ้า และสารลดอาการปวดเมื่อย คือกลุ่ม Steroid Drugs ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ขอนแก่น ได้เริ่มดำเนินการเฝ้าระวังมาตั้งแต่ งานเทศการไหมขอนแก่น ปี 2539 เป็นต้นมา แต่ไม่พบ สารเสพติด และยาแก้ปวดเมื่อยแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อปี 2542 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ อุบลราชธานี ได้ออกข่าวว่าพบสาร Chloroform ในยาดองเหล้า โดยมีการกล่าวอ้างถึงแหล่งจำหน่ายใหญ่ อยู่ที่ขอนแก่น ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ไม่นิ่งนอนใจ ได้เก็บตัวอย่างยาดองเหล้า ตรวจ วิเคราะห์หาสาร Chloroform เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาแพทย์ มข.ช่วยอีกแรง พอที่จะมีข้อมูล ประกอบอื่นๆ เช่น
       1. แหล่งผลิตยาดองเหล้า มี 2 รูปแบบ คือ
          1.1 ผู้ขายยาดองเหล้าเป็นผู้ผลิตเอง ขายเองที่ร้านตยเอง ซึ่งอาจเป็นการเลือกสรรหาซื้อสมุน ไพรมาต้มเอง หรือซื้อสูตรจาผู้ที่ขายยาดองเหล้าก่อนตนเอง
          1.2 ผู้ขายยาดองเหล้าซื้อยาดองเหล้าสำเร็จรูปที่เป็นน้ำกระสาย หรือผู้ขายเรียกกันว่า "หัวเชื้อ" ซึ่งหมายถึงน้ำกระสายยาที่ได้จากการสกัดสมุนไพร เช่น การต้มสมุนไพร และยังไม่ได้ผสมเหล้า ซึ่งเราเห็นในขวดโหลตามร้านยาดองเหล้าทั้งหลายนนั่นเอง จากการสอบถามข้อมูล ตรงกันว่ามีผู้ จำหน่ายน้ำหัวเชื้ออยู่ 2 รายใหญ่ๆ หนึ่งในจำนี้เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่าย ยาดองเหล้า ส่วนอีกรายหนึ่ง เป็นเพียงผู้แทนจำหน่าย ซึ่งรายนี้ให้ข้อมูลว่า ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเป็นเพียงผู้สั่งหัวเชื้อโดยสั่งจาก จังหวัด อุบลราชธานี โดยฝากสั่งกับรถบัสสายขอนแก่น-อุบลฯ ได้ทุกคัน ซึ่งผู้ผลิตที่อุบลฯ จะส่งให้เป็นแกลลอน 20 ลิตร แล้วจึงส่งให้แก่ลูกค้าที่เป็นร้านค้าย่อยในขอนแก่นเท่านั้น
       ผู้ แทนจำหน่ายรายนี้ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยาดองเหล้าเดิมที่เริ่มต้นที่อุบลฯ แต่กลับได้รับความ นิยมมากที่ขอนแก่น และปัจจุบันนี้คนนิยมยาดองเหล้าสูตรเย็นมากกว่าสูตรธรรมดา
       และจาก การสอบถามผู้จำหน่ายทุกรายให้ข้อมูลว่าหัวเชื้อจะไม่ใส่เหล้าไว้ด้วย เพราะสรรพสามิต จะจับ(เนื่องจากสรรพสามิตถือว่า เป็นการผลิตสุรา โดยไม่ได้รับอนุญาต)
       2. สาร Chloroform ที่พบในยาดองเหล้าซึ่งเก็บตัวอย่างโดย สสจ.ขอนแก่น พบ 71.4% (5 ตัวอย่างใน 7 ตัวอย่าง) และที่เก็บโดยนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบ 93.3% (พบ 42 ใน 45 ตัวอย่าง) อย.ได้ห้ามใส่สาร Choroform นี้ในยา เพราะสารนี้มีความเป็นพิษในตัวเอง ซึ่งจากการ ทดลองในหนู พบว่าระดับสาร Chloroform ที่ทำให้เกิดพิษต่อตับอยู่ที่ระดับ 18 มิลลิกรัม ต่อ กิโลกรัม ต่อวัน และระดับที่ทำให้เกิดมะเร็งในตับอยู่ที่ระดับ 138-477 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม ต่อวัน ส่วนในคนมี รายงานว่า มีผู้ตายเพราะได้สาร Chloroform ในระดับ 45 กรัม(ข้อมูลจากการศึกษาเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2542)
       จาก การสังเกตเป็นจริงดังที่ผู้จำหน่ายหลายรายว่า สูตรเย็นเป็นที่นิยมมากกว่า เมื่อมีผู้บริโภค หรือลูกค้าต้องการ แล้วไฉนเลยผู้ขายจะไม่ตอบสนอง ซึ่งผู้จำหน่ายบางรายบอกว่า ที่เย็นเนื่องมาจากใส่ Menthol และเก็บใส่ตู้เย็นหรือแช่เย็นไว้ เมื่อมีผู้มาซื้อจึงค่อยนำมาผสมกับเหล้าขาว แต่มีบางรายที่ บอกว่าใส่สาร Chloroform เพื่อให้เย็นและมีรสหวาน โดยมีผู้จำหน่ายรายหนึ่งบอกว่า ทำหัวเชื้อเอง และมีการเติมน้ำใบเตยลงในหัวเชื้อด้วย เพื่อเป็นการแต่งกลิ่นของยาดองเหล้า และต้องใส่เพื่อให้หัว เชื้อเย็นและไม่เสียง่าย (ทำไมจึงรู้ว่าสาร Chloroform เป็นสารกันเสียได้) โดยจะซื้อ Chloroform ได้ที่ร้านค้าทั่วไป หรือที่ร้านขายยา (แล้วทำไมไม่ตรวจสอบและห้ามที่ร้านเหล่านั้นไม่ให้มีการขายสาร Chloroform)
       สาร Chloroform และ Menthol เป็นสารที่ใส่ในยาดองเหล้าแล้วทำให้เย็นเหมือนกัน แต่ผม เชื่อว่า Chloroform มีความเหนือชั้นกว่า Menthol ตรงที่ว่ามีรสออกหวาน เป็นสารกันเสีย เป็นตัวทำ ละลาย (Solvent) ที่ดีน่าจะละลายในหัวเชื้อได้มากกว่า Menthol บรรจุในขวดปิดสนิท ซึ่งระเหยยาก กว่า Menthol ที่บรรจุในถุงพลาสติก และราคาจะแพง เจ้าหน้าที่ อย.บอกว่ายาดองเหล้า หรือน้ำหัวเชื้อ เป็นยาเนื่องจากเป็ยผลิตผลจากสมุนไพรมีการแปรรูป จากสมุนไพร เป็นรูปแบบของน้ำกระสายยาแล้ว นั่นหมายถึงผู้ที่จำหน่ายหรือผลิตยาดองเหล้าหรือน้ำหัวเชื้อ ต้องขออนุญาตขาย หรือผลิตยาแผนโบราณ ตามพระราชบัญญัติยาอย่างแน่นอน รวมทั้งต้องขอขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนโบราณ ใส่สาร Chloroform ซึ่งเป็นสารที่อันตราย ห้ามใส่ในยาอีกด้วย แย่แน่ๆ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ อาจจะ ต้องเจอกระแสม็อบ อาจจะมีการวางขวดโหลยาดองเหล้าขวางถนนก็เป็นได้ใครจะรู้?
       เป็นไป ได้หรือไม่ที่หน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหลายจะหันหน้าหารือกัน อย.หารือสถาบันการ แพทย์แผนไทย/สสจ/หน่วยงานอื่นๆ ในประเด็น
       1. ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนนักดื่ม หันมานิยมดื่มไม่ใช่กิน ดื่มสูตรธรรมดาสามัญ
       2. ที่ว่าสูตรเย็นมีปัญหาอะไร สาร Chloroform มันไม่ดีตรงไหน อันตรายมากไหม
       3. เนื่องจากผู้จำหน่ายยาดองเหล้าส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย มีที่อยู่ในชุมชนแออัดน่าจะหา สารที่ อย.คิดว่า ปลอดภัยต่อผู้บริโภคนักดื่มกิน ไม่ผิดกฎหมาย มีคุณสมบัติเทียบเท่าสาร Chloroform สิ่งสำคัญเพื่อเป็นการลดปัญหา ลดความเสี่ยงต่อการบริโภคโดยการทดแทนสาร Chloroform

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประวัติเมืองปาย

อำเภอ ปายเป็นเมืองเก่าแก่ ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาแต่เดิมคือชาวพ่ายหรือไปร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สาขาว้า-เรียง ดังมีร่องรอยหลักฐานซากวิหารและเจดีย์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนภูเขาสูง ที่ดอนเชิงเขา บริเวณพื้นราบลุ่มน้ำปาย บางแห่งก่อสร้างด้วยหิน เช่น ในผืนป่าบริเวณใกล้น้ำตกเอิกเกอเต่อ ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่ปิงน้อย บางแห่งมีการขุดคูเป็นร่องลึกบนภูเขาสูงชัน มีเจดีย์บนยอดเขา



มี หลักฐานว่าเจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปาย ในสมัยพระเจ้าโหตรประเทศ พระราชาธิบดีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่งเจ้าแก้วเมืองออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปายย้ายเมืองมาตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะเป็นที่ ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ว่า "เวียงใต้" ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า "เวียงเหนือ"



ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
เมือง ปายเป็นเมืองที่มีคนตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในสมัยประวัติศาสตร์บริเวณที่ตั้งเมืองปายเป็นเมืองสำคัญของล้านนาในสมัยราช วงศ์มังรายซึ่งมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง ต่อมาเมืองปายได้ร้างไปพร้อมกับเมืองเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ. 2318-2338 เมืองปายได้ฟื้นฟูเป็นหมู่บ้านและพัฒนาเป็นอำเภอปาย โดยมีผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ ได้แก่ คนไทยวน (คนเมือง) ชาวไทใหญ่ ชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) และชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเมืองปายตั้งอยู่ในบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย เหมาะสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปัจจุบันเมืองปายเป็นเมืองชุมทางที่สำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางระหว่าง เชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอน

สมัยก่อนประวัติศาสตร์
อำเภอปายมีร่องรอย การอาศัยอยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และมีชุมชนโบราณที่ปรากฏชื่อในตำนานคัมภีร์ใบลานหลายเมือง และมีประวัติสืบต่อกันมานับร้อยปี ประกอบกับมีหลักฐานโบราณคดีปรากฏอยู่ในชุมชนโบราณดังกล่าวด้วย จากการศึกษาของพระครูปลัดกวีวัตน์ธนจรรย์ สุระมณี วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมืองเชียงใหม่ มีรายงานการสำรวจว่าในเขตเมืองน้อย อำเภอปาย มีหลักฐานโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังนี้


ถ้ำผีแมน บ้านห้วยหก ตำบลเวียงเหนือ อยู่ห่างจากบ้านห้วยหกไปทางทิศตะวันตกราว 1,500 เมตร พบซากกระดูกและระแทะคล้ายรางไม้ให้อาหารสัตว์หลงเหลืออยู่ บางส่วนถูกชาวบ้านเผาไปเกือบหมดแล้ว ถ้ำผีแมนซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์นี้มีอยู่หลายแห่งในเขต จังหวัดแม่ฮ่องสอน เช่น
ถ้ำป่าคาน้ำฮู ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

ถ้ำน้ำลอด อำเภอปางมะผ้า พบหลักฐานของใช้ของคนถ้ำในยุคนั้นคือ กำไลแขนทำด้วยโลหะ หม้อดินลายเชือกทาบ ขวานหินขุด ระแทะไม้ ฯลฯ

ถ้ำ ดอยปุ๊กตั้ง อยู่ทางทิศใต้ของบ้านห้วยเฮี้ย ตำบลเวียงเหนือ ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าจากหมู่บ้านประมาณ 1 ชั่วโมง พบเครื่องใช้ของมนุษย์ถ้ำมีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่พบในถ้ำผีแมนแห่งอื่น ๆ

ประวัติสโมสร Liverpool

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นเมื่อ 15 มีนาคม1892 จากการแยกตัวออกไปของสโมสรเอฟเวอร์ตันเหตุจากความขัดแย้งเรื่องค่าเช่าสนาม ทำให้สโมสรเอฟเวอร์ตันต้องย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ จอห์น โฮลดิ้ง เจ้าของสนาม จึงได้ร่วมมือกับ วิลเลียม อี บาร์เคลย์ และแฟนบอลกลุ่มหนึ่งออกมาตั้งทีมฟุตบอลใหม่กันเอง โดยได้ตั้งชื่อตามชื่อเมืองในปี 1894 และใช้สีแดงซึ่งเป็นสีประจำเมืองเป็นสีของเสื้อทีมเหย้า


ในปี 1901 มีการเพิ่มสัญลักษณ์ นกลิเวอร์เบิร์ด บนหน้าอกเสื้อทีม วิลเลียม อี บาร์เคลย์ คือผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสร จอห์น แม็คเคนน่า รับหน้าที่เป็นประธานสโมสรและเป็นบุคคลซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในระยะแรกๆของทีม ลิเวอร์พูล ลงแข่งขันครั้งแรกใน แลงคาเชียร์ ลีก หรือลีกท้องถิ่น การแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดแรกของลิเวอร์พูลเป็นเกมในบ้านพบกับไฮเออร์ วอลตัน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 1892
ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 8-0 มันเป็นการเริ่มต้นที่สุดวิเศษและลิเวอร์พูลก็ผงาดคว้าแชมป์แลงคาเชียร์ ลีกไปครองอย่างง่ายดาย
และนี่คือผลงานที่น่าเหลือเชื่อสำหรับทีมที่ก่อตั้งขึ้นมายังไม่ถึงหนึ่งปี ก่อนก้าวขึ้นสู่ดิวิชั่น2 และ ดิวิชั่น1 ตามลำดับ
ปี 1896 ถือเป็นปีแห่งการเริ่มต้นความสำเร็จ เมื่อ ทอมมี่ วัตสัน เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการคุมทีม สิ่งที่เขาทำให้กับสโมสรนี้มีค่ามากมายเหลือเกิน แซม เรย์โบลด์ กองหน้าจอมถล่มประตู และ ราอิสเบ็ค กองหลังจอมแกร่ง คือคีย์แมนที่ทำให้ทีมลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 สมัยแรกมาประดับสโมสรในปี 1901 โดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่แปดปีหลังจากเข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีกสูงสุดของ ประเทศ

หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีกสมัย ในปี 1906 และนับเป็นถ้วยรางวัลสุดท้ายในยุคของ กุนซือ
ทอมมี่ วัตสัน ปี 1920 เดวิด แอชเวิร์ธ คือผู้จัดการทีมรายที่สองที่เข้ามาคุมทีม และเพียงแค่ปีเดียวภายใต้การนำของ แอชเวิร์ธ ทีมก็คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้ในปี 1921 ทีมในชุดนี้เน้นไปที่แผงหลังอันแข็งแกร่ง ประกอบด้วย ผู้รักษาประตูทีมชาติไอร์แลนด์ เอลิชา สก็อตต์ กองหลัง อีเพลม ลองวอร์ธ ,ทอม ลูคัส และ ดอน แม็คกินเลย์ สองฟูลแบ็ค แฮร์รี่ แชมเบอร์ ดาวซัลโวประจำทีมด้วยจำนวน 19 ประตู และคู่ขาในแดนหน้า ดิ๊ก ฟอร์ชอว์ ซึ่งยิงไป 17 ประตู

เดวิด แอชเวิร์ธ วางมือจากการคุมทีมในปี 1922 ปี 1923 แม็ตต์ แม็คควีน อดีตนักเตะยุคเริ่มก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูลในปี 1892 โดยสมัยค้าแข้งเจ้าตัวลงเล่นให้สโมสรถึง 150 เกมเลยทีเดียว แม็คควีน เข้ามารับงานต่อจากกุนซือคนก่อน เดวิด แอชเวิร์ธ
ในช่วงปลายของฤดูกาล 1922-23 ซึ่งขณะนั้นทีมมีคะแนนนำเป็นจ่าฝูง แม็คควีน พาทีมจบฤดูกาลด้วยการป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัย
ทีมลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมเรื่อยมา ไล่ตั้งแต่ปี 1928-36 จอร์จ เพ็ตเตอร์สัน ,1936 จอร์จ เคย์ และก็เป็นกุนซือ
เคย์ ที่พาทีมประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้เป็นสมัยที่ 5 ของสโมสร

ในปี 1946 จอร์จ เคย์ เป็นผู้จัดการทีมที่พาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ในปี 1950 กับ อาร์เซน่อล ที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของสโมสรที่มีโอกาสได้ลงเล่นที่สนามเวมบลีย์ทีมชุดนั้น ประกอบด้วย ไซริล ซิดโลว์,เรย์ แลมเบิร์ท,เอ็ดดี้ สไปเซอร์,ฟิล เทย์เลอร์ (กัปตันทีม),บิลล์ โจนส์,ลอวลี่ ฮิวจ์ส,จิมมี่ เพย์น,เบรอน,อัลเบิร์ต สตั๊บบินส์,โจ เฟแกน,บิลลี่ ลิดเดลล์ แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้ลงเล่นที่เวมบลีย์ ท่ามกลางแฟนบอล 100,000 คน แต่ผลการแข่งขันกลับไม่เป็นใจ ทีมหงส์แดงกลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อ อาร์เซน่อล ไป 2-0 ทำให้ทำได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ และนั่นคือผลงานชิ้นสุดท้ายของ จอร์จ เคย์ดอน เวลช์ คือกุนซือที่เข้ามารับตำแหน่งแทน จอร์จ เคย์ ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ แต่ผลงานกลับเลวร้ายลงอย่างไม่คาดคิด ทีมต้องตกชั้นไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในปี 1954

ดอน เวลช์ พยายามที่จะพาทีมกลับขึ้นสู่ดิวิชั่น1 ในฤดูกาลต่อมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนทีมต้องสั่งปลด และนับเป็นครั้งแรกของสโมสรที่มีการไล่ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่ง ฟิล เทย์เลอร์ อดีตนักเตะกัปตันทีมลิเวอร์พูลชุดคว้าแชมป์ลีกปี 1946 เข้ามารับหน้าที่กู้้วิกฤิตให้กับทีม แต่ก็ต้องผิดหวังเนื่องจากไม่สามารถพาทีมกลับขึ่นสู่ดิวิชั่น1 ได้ทำให้ เทย์เลอร์ ตัดสินใจอำลาทีม

วันที่ 1 ธันวาคม 1959 คือวันที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสร ด้วยการประกาศแต่งตั้ง บิล แชงคลีย์ อดีตกุนซือของฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ บิล แชงคลีย์ จัดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสโมสร สนามซ้อมเมลวู๊ด ถูกซ่อมแซมปรับปรุงพื้นหญ้าใหม่ นำวิธีการฝึกซ้อมใหม่ๆมาสู่ทีม และเป็นคนเลือก11นักเตะลงสู่สนามเอง เขาจัดการโละนักเตะออกไปหลายคนและจากนั้นเขาก็ได้นำนักเตะที่มีแนวคิดที่ตรง กันในเกมเข้ามาสู่ทีม โรเจอร์ ฮันท์ ดาวยิงซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของดาวยิงตลอดกาลของสโมสรก็เป็นผลงานการคว้าตัว ของ บิล แชงคลีย์เพียงแค่ 3 ปี ลิเวอร์พูลก็กลับคืนสู่ดิวิชั่น1 ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1961-62 และนับเป็นการคืนสู่ดิวิชั่น1 ที่มั่นคงกว่าครั้งก่อนๆ

บิล แชงคลีย์ พาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้เป็นสมัยที่6ของสโมสรในฤดูกาล 1963-64 ถัดจากนั้นอีกเพียงแค่ปีเดียว แชงคลีย์ พาทีมหวนคืนสู่สนามเวมบลีย์อีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ โดยพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด แต่ในเวลา 90 นาที ทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้ ทำให้ต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบชิงชนะเลิศบอลถ้วยที่ต้องมีการต่อเวลานับตั้งแต่ปี 1947 ช่วงต่อเวลาพิเศษ โรเจอร์ ฮันท์ โขกให้ทีมออกนำ ก่อนมาถูกลีดส์ ตีเสมอจากการยิงของ บิลลี่ เบรมเนอร์ หงส์แดงมาได้ประตูชัยจาก เอียน เซนต์จอห์น ที่ได้โขกจ่อๆให้ทีมชนะไปในที่สุด 2-1 คว้าถ้วยแชมป์เอฟเอ คัพ กลับสู่เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งต้องรอคอยมายาวนานถึง 73 ปี

ปี1966 แฟนบอลลิเวอร์พูลนำเพลง You'll Never Walk Alone มาร้องในสนามซึ่งเหมือนเป็นแรงพลักดันได้เป็นอย่างดีฤดูกาล 1972-73 ลิเวอร์พูลสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่ สามารถคว้าถ้วยสโมสรยุโรปมาครองได้ในรายการของ ยูฟ่า คัพ ด้วยการเอาชนะ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 พร้อมจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดับเบิ้ลแชมป์ โดยก่อนหน้านี้คว้าแชมป์ลีกมาครองได้แล้ว ฤดูกาลต่อมาลิเวอร์พูลก้าวเท้าเข้าสู่สนามเวมบลีย์ พร้อมผงาดคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ด้วยการชนะ ได้อีกสมัยหลังจบฤดูกาลแฟนบอลลิเวอร์พูลก็ต้องช็อคกันทั้งเมืองเมื่อ บิล แชงคลีย์ ประกาศวางมือจาการคุมทีมบิล แชงคลีย์ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรอย่างมากมายตลอดระยะเวลา 10 ปีที่เจ้าตัวคุมทีม จนทำให้สังเวียนแอนฟิลด์กลายเป็นสังเวียนแข้งที่น่ากลัวสำหรับทุกทีมที่มา เยือน

แช งคลีย์ นำนักเตะที่มีความสามารถมาสู่ทีมมากมายไล่ตั้งแต่ยุคแรกๆอย่าง เอียน เซนต์จอห์น,รอน เยตส์,เอมลีน ฮิวจ์ส และคนที่ถือว่าเป็นการคว้าเพชรเม็ดงามมาสู่ทีมก็คือคู่หูจอมถล่มประตู เควิน คีแกน และ จอห์น โตแช๊ค สโมสรได้แต่งตั้ง บ็อบ เพสลีย์ อดีตนักเตะของสโมสรและยังเป็นมือขวาของ บิล แชงคลีย์ ขึ้นมาคุมทีมในฤดูกาล 1974 เพสลีย์ ยังคงใช้ห้องเก็บรองเท้าหรือที่เรียกกันว่า "บูธรูม" เป็นสถานที่สำหรับพูดคุยและวางแผนในการลงเล่นแต่ละนัด นักเตะในทีมอย่าง เควิน คีแกน เริ่มอิ่มตัวกับฟุตบอลอังกฤษจึงย้ายไปเล่นในเยอรมันกับฮัมบูร์ก เพสลีย์ จึงหันไปคว้าตัว เคนนี่ ดัลกลิช กองหน้าจาก เซลติก มาสู่ทีม ไม่นานนัก แกรม ซูเนสส์ นักเตะสกอตแลนด์อีกคนก็ย้ายมาสู่ทีม เมื่อบวกกับนักเตะเก่าในทีมอย่าง ฟิล ธอมป์สัน,เทอร์รี่ แม็คเดอร์ม็อด,เรย์ คลีเมนซ์,อลัน เคนเนดี้ ทีมชุดนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก

ปี 1981 เพสลีย์ ยังคงนำนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาสู่ทีมอย่างต่อเนื่อง บรูซ กร็อบเบลล่า,เอียน รัช,รอนนี่ วีแลน,เคล็ก จอห์นสตัน ทั้งหมดคือคีย์แมนในยุคของ บ็อบ เพสลีย์ ทำให้สโมสรลิเวอร์พูลรุ่งเรืองสุดขีดในช่วงที่เจ้าตัวคุมทีม พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 6สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) 3สมัย, ยูฟ่า คัพ 1สมัย, ลีก คัพ 3สมัย, ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ 1สมัย และแชมป์ แชริตี้ ชิลด์ อีก 5 สมัย รวมแล้ว 19 รางวัลตลอดระยเวลาเพียงแค่ 9 ปี ชื่อของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่แล้วก็ถึงเวลาเมือ บ็อบ เพสลีย์ ประกาศวางมือไปอีกคนโจ เฟแกน หนึ่งในผลผลิตจาก "บูธรูม" อีกคนก้าวขึ้นคุมทีมในปี 1983 ดูเหมือนงานคุมทีมในสโมสรจะมีรากฐานที่แน่นมาตั้งแต่สมัยของ บิล แชงคลีย์ เพราะสโมสรยังคงทำผลงานได้ดีเรื่อยมาคว้าแชมป์ลีกครั้งที่ 15 ของสโมสรในฤดูกาล 1983-84 เท่านั้นยังไม่พอเมื่อพลพรรคหงส์แดงได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลลีกคัพ โดยเป็นการพบกับคู่ปรับร่วมเมือง เอฟเวอร์ตัน ซึ่งถือเป็นเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้แมตช์นัดชิงครั้งแรกของทั้งสองทีม ผลจบลงด้วยการเสมอกันในนัดแรกต้องไปเตะกันใหม่ที่สนามของแมนฯซิตี้ โดย แกรม ซูเนสส์ เป็นผู้ยิงประตูชัยให้กับทีมเอาชนะไป 1-0 พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ 3 สมัยติดลิเวอร์พูลเดินหน้าคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ต่อด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปได้ เป็นสมัยที่ 4 ของสโมสรด้วยการยิงจุดโทษชนะ โรม่า ถึงกรุงโรม และนั่นเป็นครั้งแรกของสโมสรที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้ หลังจบฤดูกาล แกรม ซูเนสส์ ย้ายไปเล่นให้กับ ซามพ์โดเรีย กำลังหลักของทีมหลายคนเริ่มออกจากทีม ทำให้ผลงานในลีกไม่ดี ทุกคนจึงพุ่งเป้าไปที่แชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 แทนวั

นที่ 29 พฤษภาคม ปี 1985 ลิเวอร์พูล พบกับ ยูเวนตุส ในรอบชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ ที่กรุงบรัสเซลล์ บรรยากาศในสนามเริ่มรุนแรงขึ้นหนึ่งชั่วโมงก่อนเกมเริ่ม แฟนบอลทั้งสองฝั่งมีปากเสียงกันผ่านที่กั้นซึ่งทำด้วยลูกกรง และหลังจากที่มีการขว้างปาสิ่งของ แฟนลิเวอร์พูลบางคนเริ่มวิ่งเข้าใส่แฟนบอลของยูเวนตุส ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้น แฟนบอลยูเวนตุสพยายามหนี พวกเขาปีนขึ้นไปบนกำแพง และหลังจากนั้นแฟนบอล 39 คนเสียชีวิตจากการพลัดตกลงมา และกลายเป็นโศกนาฏกรรมเฮย์เซล ผลการแข่งขันลิเวอร์พูล พ่ายไป 0-1จากลูกจุดโทษของ มิเชล พลาตินี่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหลังโศกนาฏกรรมที่เฮย์เซล โจ เฟแกน ประกาศลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีม นี่ถือเป็นฝันร้ายในการสิ้นสุดอาชีพที่รุ่งเรืองกับทีมหงส์แดงเลยก็ว่าได้ เคนนี่ ดัลกลิช ขึ้นคุมทีมแทนในตำแหน่งผู้เล่นและผู้จัดการทีมควบคู่กัน

ลิ เวอร์พูลเริ่มต้นฤดูกาล 1985-86 ด้วยความโศกเศร้า เหตุการณ์ที่เฮย์เซลเมื่อสี่เดือนก่อนยังไม่จางไปจากแอนฟิลด์แต่นักเตะทุกคน ยังทำผลงานในลีกได้ดีพาทีมหงส์แดงเอาชนะแชมป์เก่าอย่างเอฟเวอร์ตัน ครองแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 16 พร้อมทั้งคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกจากการเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ไป 3-1 แต่สโมสรก็ถูกยูฟ่าสั่งแบนจากการแข่งขันในเวทียุโรปปี1986-87 เอียน รัช อำลาทีมย้ายสู่สโมสรยูเวนตุสในอิตาลี สภาพของทีมดูย่ำแย่ลงนักเตะในทีมเริ่มมีแต่ดาวรุ่งตัวเก่าๆก็เริ่มที่จะ โรยราลง ทำให้ทีมไม่สามารถรักษาแชมป์เอาไว้ได้ ปี1987-88 ดัลกลิช เปลี่ยนนักเตะแบบยกชุดด้วยการหันไปคว้านักเตะอย่าง จอห์น อัลดริดจ์,จอห์น บารนส์, ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์,เรย์ เฮาจ์ตัน มาสู่ทีมบวกกับนักเตะจากทีมสำรองที่ถูดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่อย่าง สตีฟ แม็คมาน ทำให้ทีมลงตัวจนสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ในที่สุด หลังจบฤดูกาล เอียน รัช ย้ายกลับสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง 15 เมษายน 1989 เกมตัดเชือกเอฟเอคัพ กับ น็อตติ้งแฮมฟอเรสต์ ที่ฮิลส์โบโร่ สนามของ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ แฟนบอลลิเวอร์พูล 96คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์เบียดเสียดกันตายจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งที่สอง

เหตุ การณ์ที่ฮิลส์โบโร่ห์มีผลกระทบต่อความรู้สึกของบรรดาเดอะ ค็อปมาก แต่สิ่งที่ได้รับจากกองเชียร์ นักเตะและสโมสร แสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาทุกคนจึงรักสโมสรแห่งนี้ และแน่นอนแฟนบอลหงส์แดง 96 คนจะอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยแชมป์ลีกสมัยที่ 18 ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศลาออกในปี 1991 ทำให้สโมสรเรียกตัว แกรม ซูเนสส์ กลับมาสู่ทีมในฐานะผู้จัดการทีมคนใหม่ ซูเนสส์ หันไปหานักเตะรุ่นใหม่ๆหมดไล่ตั้งแต่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์,สตีฟ แม็คมานามาน,เจมี่ เร็ดแนป์,ร็อบ โจนส์,เดวิด เจมส์ แต่น่าเสียดายที่ผลงานการคุมทีมไม่ดีอย่างที่หลายคนคาด คว้ามาได้เพียงแชมป์เอฟ เอคัพ ครั้งเดียวตลอดการคุมทีม 4 ปีสโมสรได้แต่งตั้ง รอย อีแวนส์ หนึ่งในสมาชิกของ "บูธรูม" อีกคน แต่ อีแวนส์ ก็ไม่สามารถพาลิเวอร์พูลกลับขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ ผลงานที่สามารถคว้ามาได้มีเพียงแชมป์ลีก คัพ ในปี 1994-95 เพียงรายการเดียว

ปี1998 สโมสรหันไปคว้าผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส เชราร์ อุลลิเย่ร์ มาคุมทีมร่วมกับ รอย อีแวนส์ และเพียงไม่นาน อีแวนส์ ก็ขอลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมร่วม ทำให้ เชราร์ อุลลิเย่ร์ รับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่แทนทันที และหมดยุคของ "บูธรูม" ทันทีอุลลิเย่ร์ เรียก ฟิล ธอมป์สัน อดีตนักเตะลิเวอร์พูลมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม และใช้เวลาสร้างทีมใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเตะต่างชาติ ซามี่ ฮูเปีย ,แพทริก แบร์เกอร์,วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์,ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์ และนักเตะจากทีมเยาวชน ซึ่งต่อมาถือเป็นกำลังหลักของทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด,เจมี่ คาร์ราเกอร์และ ไมเคิ่ล โอเว่น ทีมทำผลงานได้ดีในฟุตบอลถ้วย แต่ผลงานในลีกกลับไม่สามารถทวงความยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตกลับมาสู่สโมสรได้

ปี 2000-01 อุลลิเย่ร์ พาทีมสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วย โดยคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ,ลีกคัพ เป็นสมัยที่ 6 มาสู่สโมสร พร้อมทั้งสร้างผลงานในเวทียุโรป ด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ มาครองหลังห่างหายไปนานกว่า 21 ปี ปี 2003 กุนซือชาวฝรั่งเศสพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ สมัยที่7 ให้กับสโมสรด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ 2-0 จากประตูของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่ สนามมิลเลเนี่ยม เมืองคาร์ดิฟฟ์ และนั่นคือผลงานสุดท้ายที่กุนซือชาวฝรั่งเศสทำให้ทีมเนื่องจาก
เชราร์ อุลลิเย่ร์ ไม่สามรถทำทีมคว้าแชมป์ลีกได้ตามที่บอร์ดบริหารต้องการ

ปี 2004 สโมสรได้แต่งตั้ง ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ผู้นำทีมบาเลนเซียคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปน มาสู่ทีมและเพียงแค่ฤดูกาลแรกที่เจ้าตัวเข้ามาคุมทีม ราฟาก็ทำค่ำคืนที่เหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พูลได้ เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ยุโรปมาครอบครองได้เป็นสมัยที่5ของสโมสร หลังจากที่ตามหลัง เอซี มิลาน อยู่ 3-0 ในช่วงจบครึ่งแรก แต่สามารถกลับมาตีเสมอได้ในช่วงครึ่งหลัง 3-3 ก่อนที่จะกลับมาเอาชนะไปได้ในช่วงของการดวลจุดโทษ

10 สุดยอดการซื้อขายของพรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2010-11


อันดับ 10 - ปีเตอร์ โอเด็มวิงกี้ (โลโคโมทีฟ มอสโก มา เวสต์บรอมวิชฯ: 1 ล้านปอนด์)
 ลงเล่น : 28 เกม
 ประตู   : 12 ประตู
 

โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ อดีตนายใหญ่ของ เวสต์บรอมฯ จัดการใช้งบเพียงน้อยนิดแค่ 1 ล้านปอนด์ (ราว 48 ล้านบาท)ในการดึงตัว โอเด็มวิงกี้ เข้ามาเสริมความคมในแดนหน้าแก่ทีม หลังจากที่เพิ่งเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง
 
ในฤดูกาลแรกของเจ้าตัวในลีกอังกฤษ อดีตดาวยิงโลโคมอสทีฟ มอสโก ยิงไปทั้งสิ้น 12 ประตูจาก 28 เกม สถาปนาตัวเองเป็นกองหน้าตัวสำคัญของทีมไปแล้ว ด้วยรูปแบบการเล่นที่เน้นความเร็ว ทำให้ ดาวยิงทีมชาติไนจีเรีย กลายเป็นหัวหอกตัวอันตรายของกองหลังหลายๆทีม ซึ่ง อาร์เซน่อล และ เชลซี ก็ตกเป็นเหยื่อของเขามาแล้ว ล่าสุด พาทีมรั้งในอันดับที่ 11 มีโอกาสอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้าสูง

อันดับ 9 - ชีค ติโอเต้  (เอฟซี ทเวนเต้ มา นิวคาสเซิ่ล : 3.5 ล้านปอนด์)
 ลงเล่น :
24
 ประตู   : 1


ย้ายมาร่วมทัพ "สาลิกาดง" จากทีมแชมป์ลีกกังหันลมอย่าง เอฟซี ทเวนเต้ เมื่อช่วงปลายเดือน 2010 ซึ่ง ดาวเตะทีมชาติโกตดิวัวร์ ก็ใช้เวลาเพียงน้อยนิดในการปรับตัวให้เข้ากับสไตล์ฟุตบอลอังกฤษได้เป็นอย่าง ดี
 
ด้วยสไตล์การเล่นที่เรียบง่ายแต่ทรงประสิทธิภาพ ทำให้เจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในหลายต่อหลายนัด ถึงแม้ว่า ติโอเต้ จะเป็นนักเตะที่มีสไตล์บู๊ล้างผลาญโดยสะสมใบเหลืองไปแล้ว 10 ใบ แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความยอดเยี่ยมของฝีเท้าเขาลดน้อยลงแต่อย่างใด เชื่อกันว่าผู้จัดการทีมหลายคนในพรีเมียร์ลีกคงอยากจะย้อนเวลากลับไปแย่ง ซื้อตัวเขากับ นิวคาสเซิ่ล เมื่อช่วงปีที่แล้ว ไฮไลท์ของเจ้าตัวในซีซั่นนี้ คือ ประตูยิงไกลตีเสมอ "เดอะ กันเนอร์ส" 4-4

อันดับ 8 - ดาบิด ซิลบา ( บาเลนเซีย มา แมนเชสเตอร์ ซิตี้: 26 ล้านปอนด์)
 ลงเล่น :
46
 ประตู   : 6


เป็นหนึ่งในนักเตะค่าตัวแพงอันดับต้นๆของสโมสร หลังจาก โรแบร์โต้ มันชินี่ ลงทุนกว่า 26 ล้านปอนด์ พรากตัว ปีกจอมเลื้อยทีมชาติสเปน จาก บาเลนเซีย ใน ลา ลีกา และกลายเป็นนักเตะที่เรือใบสีฟ้าขาดไม่ได้ เมื่อดูจากจำนวนเกมที่ลงเล่น
 
อดีตดาวเตะไอ้ค้างคาวสามารถเปิดซิงสกอร์แรกให้กับทีมตั้งแต่นัดที่ 5 และ มันชินี่ ถึงกับยกให้เจ้าตัวเป็น "ยอดกองหน้าตัวทำเกมแห่งถิ่นอีสต์แลนด์ส" ผลงานยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่องทำให้ ซิตี้ น่าจะได้โควต้าไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าได้ ความสำคัญของเขาต่อทีมดูได้จากการที่เรือใบสีฟ้าพ่ายแก่ ลิเวอร์พูล แบบสิ้นท่า 3-0 จากการที่ไม่มี ซิลบา ลงสนาม



อันดับ 7 - ราอูล เมยเรเลส (เอฟซี ปอร์โต้ มา ลิเวอร์พูล: 11.5 ล้านปอนด์)
 ลงเล่น :
37
 ประตู   : 5
 

 
ลิเวอร์พูล ดำเนินการการล่าตัว มิดฟิลด์เชิงสูงเลือดโปรตุกีส จาก เอฟซี ปอร์โต้ ด้วยค่าตัว 11.5 ล้านปอนด์ (ราว 552 ล้านบาท) เมื่อช่วงปลายเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว เพื่อนำมาแทนที่ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กองกลางตัวรับ ที่เดินทางไปร่วมทัพ บาร์เซโลน่า ยอดทีมดังแดนกระทิง
 
ดาวเตะผู้คลั่งไคล้ในรอยสัก ใช้เวลาสักพักในการปรับตัวให้เข้ากับบอลผู้ดี และเมื่อถึงเวลา เขาก็แผลงฤทธิ์ซัด 5 ประตูจาก 6 เกม ในช่วงเวลาชี้ชะตาของทีม ทำให้หงส์แดงดีดตัวจากวิกฤตที่เผชิญเมื่อช่วงต้นฤดูกาลและกลับมามีลุ้นในการ ไปเล่นฟุตบอลยุโรป ซีซั่นหน้า ได้สำเร็จ


อันดับ 6 - หลุยส์ ซัวเรซ (อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มา ลิเวอร์พูล: 22.8 ล้านปอนด์)
 ลงเล่น :
8
 ประตู   : 2


ก้าวเข้ามาเป็นนักเตะคนแรกของ เคนนี่ ดัลกลิช ตำนานแข้งหงส์แดงที่กลับมารับงานผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลเป็นครั้งที่ 2 ในช่วงตลาดนักเตะเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาซึ่ง ดาวเตะทีมชาติอุรุกวัย ทำหน้าที่ทดแทน เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกเลือดสแปนิช ที่เลือกย้ายไปค้าแข้งกับ เชลซี ยักษ์ใหญ่ร่วมลีก หลังจากที่ตอนแรก คาดกันว่าทั้งคู่จะได้ลงเล่นร่วมกันในถิ่นแอนฟิลด์
 
อดีตดาวยิงของอาแจ็กซ์ สร้างความประทับใจแก่กองเชียร์ชาวลิเวอร์พัดเลี่ยนหลังจัดการเบิกสกอร์แรกใน นัดเปิดตัวของตัวเองกับ สโต๊ค ซิตี้ แต่วีรกรรมที่จะไม่มีใครลืมได้เลยคือ เกมแดงเดือดกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ ซัวเรซ โชว์ทักษะชั้นเยี่ยมในเชิงลูกหนังในการป่วนแนวรับปีศาจแดง และพาทัพหงส์แดงเปิดบ้านถล่มคู่แค้นตลอดกาล 3-1



อันดับ 5 - คริส สมอลลิ่ง (ฟูแล่ม มา แมนฯ ยูไนเต็ด: 10 ล้านปอนด์)
 ลงเล่น :
29
 ประตู   : 1
 

 
นับเป็นเรื่องประหลาดใจแก่บรรดาเร้ด อาร์มี่ สำหรับการทุ่มเงินถึง 10 ล้านปอนด์ (ราว 480 ล้านบาท) ในการดึงตัวดาวรุ่งโนเนมอย่าง คริส สมอลลิ่ง มาร่วมทัพปีศาจแดง โดยย้ายมาในช่วงพรีซีซั่นของทีม และจากการลงเล่นไม่กี่นัด เขาก็แสดงให้เห็นว่า สายตาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือของ ยูไนเต็ด ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม
 
สมอลลิ่ง วัย 21 ปี แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในซีซั่นแรกของเขากับ ยูไนเต็ด หลังจากต้องเข้ามาแทนที่ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ปราการหลังพันล้าน ที่เผชิญกับอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าอย่างต่อเนื่อง และดูแล้วมีแววว่า สมอลลิ่ง จะกลายมาเป็นผู้นำในแนวรับของปีศาจแดงในอีกหลายๆปีต่อไปนี้



อันดับ 4 - ดาวิด ลุยซ์ (เบนฟิก้า มา เชลซี: 21 ล้านปอนด์) ลงเล่น : 8
 ประตู   : 2

 
เก็บของมาร่วมถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต่อจาก เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกแดนกระทิง แต่โชคชะตาของทั้งคู่ช่วงผกผันเสียเหลือเกิน ดาวิด ลุยซ์ กลายมาเป็นนักเตะขวัญใจคนใหม่ของสาวกสิงห์บลูส์ในเวลาไม่นานนัก หลังจากทำ 2 ประตูสำคัญกับ 2 ทีมจากแมนเชสเตอร์ ทั้ง ยูไนเต็ด และ ซิตี้ ในขณะที่ ตอร์เรส ยังต้องคลำหาสกอร์แรกของตัวเองต่อไป ทั้งๆที่ย้ายมาด้วยค่าตัวถึง 50 ล้านปอนด์ (ราว 2,400 ล้านบาท)
 
ในวัยแค่ 23 ปี แต่ค่าตัวสูงถึง 21 ล้านปอนด์ (ราว 1,008 ล้านบาท) ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาหรือความกดดันแก่ เซนเตอร์แบ็กเลือดแซมบ้า แต่อย่างใด เจ้าตัวแสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเขาทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมคุ้มค่ากับทุกปอนด์ ที่ เชลซี เสียไป

อันดับ 3 - วิลเลี่ยม กัลลาส (อาร์เซน่อล มา ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์: หมดสัญญา)
 ลงเล่น :
31
 ประตู   : 0


หลังจากหมดสัญญากับ อาร์เซน่อล วิลเลี่ยม กัลลาส ก็เลือกที่จะย้ายมาซบคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง สเปอร์ส ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ ผิดหวังแต่อย่างใด หลังจากที่นายใหญ่ไก่เดือยทอง เคยออกมาชูว่า การเซ็นสัญญาปราการหลังวัย 33 ปี เป็นการซื้อตัวที่คุ้มค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
 
2 เกมสำคัญที่ฉายความโดดเด่นของ กัลลาส ในซีซั่นนี้ ได้แก่ เกมที่เจ้าตัวคุมแนวรับสุดเหนียวแน่นก่อนที่ทัพไก่เดือยทองจะบุกไปพิชิตไอ้ ปืนใหญ่ 3-2 ถึง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม รวมถึงเกมชนยักษ์ใหญ่จาก อิตาลี อย่าง เอซี มิลาน ที่ เซนเตอร์ฮาล์ฟเเฟรนช์แมน ช่วยเซฟลูกยิงของ โรบินโญ่ ศูนย์หน้าจอมเลื้อยของปีศาจแดงดำ บนเส้นประตู ทำให้ทีมสามารถยันเสมอ 0-0 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ


อันดับ 2 - ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ( เรอัล มาดริด มา สเปอร์ส: 8 ล้านปอนด์)
 ลงเล่น : 30
 ประตู   : 12


อีกหนึ่งดาวเตะฟอร์มแจ่มใน ไวท์ ฮาร์ท เลน หลังจากที่ย้ายมาด้วยค่าตัวถูกแสนถูกเพียงแค่ 8 ล้านปอนด์ (ราว 384 ล้านบาท) ฟาน เดอร์ ฟาร์ท สามารถยกตัวเองขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญในแนวรุกของไก่เดือยทอง หลังจากซัดประตูสำคัญให้กับทีมอย่างต่อเนื่อง
 
ฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของ จอมทัพเลือดดัตช์ อาจจะมีหลุดไปบ้างในช่วงท้ายฤดูกาล แต่เห็นได้ชัดเลยว่า ฟาน เดอร์ ฟาร์ท มีส่วนสำคัญในผลงานของทีมที่กำลังลุ้นคว้าอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก รวมถึงยิงประตูพาสเปอร์สตะลุยไปถึงรอบก่อนรองฯ ของแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ต้องจอดป้ายด้วยน้ำมือของ เรอัล มาดริด อดีตต้นสังกัดของเขานั่นเอง

อันดับ 1 - ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ (กัวดาลาฮาร่า มา แมนฯ ยูไนเต็ด : 8 ล้านปอนด์)
 ลงเล่น :
38
 ประตู   : 18


"ชิชาริโต้" นับได้ว่าเป็นหนึ่งในการซื้อขายที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ก่อตั้งมาเลยทีเดียว ปีศาจแดงเฝ้าจับตาดูพัฒนาการของเจ้าตัวอยู่ถึง 2 ปี ก่อนที่จะจัดการรวบหัวรวบหางมาเป็นหนึ่งในฝูงเด็กผีวัยคะนอง เมื่อซัมเมอร์ปีที่แล้ว
 
เอร์นานเดซ ยิงประตูชี้ชะตาช่วยทีมไว่หลายต่อหลายเกม ทำให้ปีศาจแดงที่ฟอร์มลุ่มๆดอนๆในซีซั่นนี้ยังคงรั้งตำแหน่งจ่าฝูงและขยับ เข้าใกล้โทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีกมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึง 2 ประตูสำคัญในเกมเชือด โอลิมปิก มาร์กเซย ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
 
"เฟอร์กี้" นายใหญ่มากประสบการณ์ของทีม เคยพูดติดตลกถึงค่าตัวของ ชิชาริโต้ ที่ถูกสุดๆเหมือนได้มาฟรีๆเมื่อเทียบกับผลงานของเขาว่า "ผมไปขโมยเขามา" ซึ่ง ดาวยิงเลือดจังโก้รายนี้ ลงเล่นมากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคำพูดของ จอมคนเลือดสก็อตต์ เป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น